วิริยะประกันภัย ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยปีมังกรโต 6% เบี้ยรวมแตะ4.3หมื่นล้านบาท กำไรไม่ต่ำกว่า3พันล้าน ชูยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัท ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท เติบโต 6% แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 38,000 ล้านบาท เติบโต 6% และ ประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 5,000 ล้านบาท เติบโต 11% และ คาดว่า ปี 2567 จะรักษากำไรประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าได้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทยังคงครองส่วนแบ่งตลาดประกันวินาศภัย อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 31 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 14% เช่นเดียวกันกับตลาดประกันภัยรถยนต์ที่วิริยะประกันภัย ยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 36 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22% ผลสำเร็จนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง และ ความน่าเชื่อถือของบริษัท
ทั้งนี้ ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้น 40,077 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 35,633 ล้านบาท และ ประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 4,444 ล้านบาท ซึ่งมีกำไร อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
นายอมร กล่าวอีกว่าทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ การให้บริการต่างๆ โดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบประสบการณ์ความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด "ปีแห่งความ มั่นคงและเป็นธรรม : มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า”
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการดำเนินงาน บริษัทยังคงยืนหยัดเคียงข้าง ดูแลเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการความเสี่ยงด้วยระบบประกันภัยให้กับประชาชนในสังคม และ ตอกย้ำความมั่นคงแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ที่มี อยู่ถึง 68,335 ล้านบาท และ อัตราส่วนเงินกองทุน (CAR) อยู่ที่ 180% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมาย กำหนดไว้
ด้านพอร์ตลงทุน ปัจจุบันมีสินทรัพย์ลงทุน อยู่ที่ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในหุ้น 29,000 ล้านบาท และ พันธบัตรรัฐบาล และ เงินฝาก ประมาณ 31,000 ล้านบาท โดยการลงทุนหุ้นได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับตัวลดลง จากเดิม 1,600 จุด และ ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 1,400 จุด ส่งผลให้มูลค่าหุ้นปรับตัวลดลง 6%
ซึ่งการลงทุนหุ้นบริษัทยังไม่มีนโยบายปรับพอร์ต หรือ เพิ่มการลงทุนหุ้น เนื่องจากสภาวะตลาดหุ้นยังไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่พันธบัตร และ เงินฝาก ได้รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR) สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 4.4% โดยคาดว่า ปี 2567 ก็จะทรงตัวในระดับดังกล่าว