สมาคมบลจ.มองเศรษฐกิจไทยโตหนุนการลงทุน เชียร์เพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกรวมไทย ขณะที่หุ้นไทยน่ากังวล แนะลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เฉพาะกลุ่ม ท่องเทียว ธนาคาร การแพทย์ ส่วนต่างประเทศต้องโฟกัสหุ้นจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น
นางชวินดา หาญรัตนกูล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาต่อมุมมองการลงทุนในช่วงหลังของการเลือกตั้งและในระยะเวลาอีก 1 ปีข้างหน้าสรุปได้ว่า “ทีมผู้จัดการกองทุนไทยส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Growth) จะเป็นปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในประเทศ นอกจากนั้นการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกเล็กน้อยอยู่ไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.25 ณ สิ้นปี 2566 (อัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลงล่าสุด ณ 31 พ.ค. 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2) ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาจากปัญหาเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ
ส่วนของการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศนั้น ทีมผู้จัดการกองทุนเน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้นถึงปานกลาง ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะมีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางลบ เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เท่านั้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือกลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะทรงตัวหรือชะลอตัวลงเช่นเดียวกับการสำรวจมุมมองครั้งก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และอัตราการเติบโตของ GDP ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ส่วนใหญ่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามทางผู้จัดการกองทุนยังเชื่อว่าด้วยมาตราการดอกเบี้ยนั้น อัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆทยอยลดระดับลงได้ในระยะถัดไป รวมทั้งเศรษฐกิจโลกน่าจะได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะปรับตัวได้ดีขึ้นระยะข้างหน้า
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลกยังคงเชื่อว่าผลกระทบของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเป็นกลางค่อนข้างไปในทางบวก ในขณะที่มีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ทั่วโลกมีมุมมองภาพรวมเชิงบวก โดยให้น้ำหนักไปที่ตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาวของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีน
ขณะที่การลงทุนในหุ้นทั่วโลกมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) โดยกรณีลงทุนจะเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (large Cap) ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ สำหรับประเทศที่น่าสนใจลงทุนในหุ้น ได้แก่สหรัฐอเมริกา จีนและญี่ปุ่น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคทั้งสินค้าพื้นฐานและฟุ่มเฟือย กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และกลุ่มบริการทางการแพทย์เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น ในส่วนของสินทรัพย์การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกยังคงให้น้ำหนักปานกลางถึงน้อยลง โดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานและน้ำมันดิบ เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจ