บลจ. พรินซิเพิล โชว์ผลงานจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิด PRINCIPAL iPROP-A อัตราประมาณ 0.259 บาทต่อหน่วย ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ ในไทยและสิงคโปร์ พร้อมเพิ่มน้ำหนักลงทุนในรีทส์กลุ่มอุตสาหกรรม ค้าปลีกและฮอสพิทาลิตี้ มองเป็นปีแห่งโอกาสลงทุนในรีทส์ในไทยและสิงคโปร์ รับปัจจัยบวกจากการปรับทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิด PRINCIPAL DEF อัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว มองตลาดหุ้นไทยปี 2566 รับปัจจัยบวกท่องเที่ยวฟื้นตัว การเลือกตั้งใหญ่ เดือนพฤษภาคมนี้ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม ชนิดสะสมมูลค่า (PRINCIPAL iPROP-A) และกองทุนเปิดพรินซิเพิล หุ้นปันผล (PRINCIPAL DEF) เป็นกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยล่าสุด กองทุนเปิด PRINCIPAL iPROP-A ได้ประกาศอัตราประมาณการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วย สำหรับงวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่อัตราหน่วยละ 0.259 บาท
จุดเด่นของกองทุนเปิด PRINCIPAL iPROP มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและสิงคโปร์ ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในไทยและสิงคโปร์อย่างละประมาณ 50% ภายใต้กลยุทธ์ Barbell Strategy ด้วยการเพิ่มน้ำหนักลงทุน (Overweight) ในกองทุนรวมอสังหาฯ กลุ่ม Defensive ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial), กลุ่ม Reopening ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ และนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มค้าปลีก (Retail), กลุ่มฮอสพิทาลิตี้ (Hospitality) ที่เกี่ยวข้องกับการบริการ เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ ในปี 2566 บลจ. พรินซิเพิล มองการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ มีแนวโน้มจะสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการปรับทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed Pivot) โดยตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีกเพียง 1 ครั้ง และอาจเห็นการคงหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามตลาดอาจเกิดการปรับฐานเป็นระยะบ้างเนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น การเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกาและยุโรป เป็นต้น หลังเกิดเหตุการณ์ Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปิดกิจการ
“เรามองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของการลงทุนกองรีทส์ในไทยและสิงคโปร์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น หลังจากจีนเปิดประเทศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา โดยรายได้ของกองรีทส์ในไทยส่วนใหญ่ยังมีอัพไซด์เหลืออีกประมาณ 30% จากระดับก่อนเกิด COVID-19 อย่างไรก็ตามเรามีมุมมองลดน้ำหนักการลงทุนรีทส์ในกลุ่มออฟฟิศ เนื่องจากเทรนด์การทำงานแบบไฮบริดทำให้หลายบริษัททั่วโลกไม่เพิ่มหรือลดพื้นที่เช่าออฟฟิศ ส่งผลให้เทรนด์ความต้องการใช้ออฟฟิศมีแนวโน้มชะลอตัวในอนาคต” นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวต่อว่า ขณะที่กองทุนเปิดพรินซิเพิล พรินซิเพิล หุ้นปันผล (PRINCIPAL DEF) ถือเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยล่าสุดได้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ถึง 31 มกราคม 2566 ที่อัตราหน่วยละ 0.50 บาท แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา
จุดเด่นของกองทุนเปิด PRINCIPAL DEF ได้รับรางวัล Morningstar 5 ดาว โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีประวัติจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยกองทุนดังกล่าว มีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่แข็งแกร่งถูกจัดอยู่ในควอร์ไทล์ 1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ในช่วงเวลา 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี และ 5 ปีย้อนหลัง (ข้อมูล ณ 2 มีนาคม 2566) เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน
ขณะที่ บลจ. พรินซิเพิล มองตลาดหุ้นไทยปี 2566 จะได้รับผลบวกจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวจากการที่จีนเปิดประเทศ และคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งปีหลังของปีนี้ 2) การเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มลดลงที่ส่งผลดีต่อความรู้สึกในเชิงบวกของผู้บริโภคในประเทศ และ 3) กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของดีมานด์และการลดลงของราคาวัตถุดิบรวมถึงค่าขนส่ง
“เรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาล อาหารและเครื่องดื่ม ที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง รวมถึงหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและธนาคารที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ และไม่แนะนำลงทุนในหุ้นวัฏจักร เช่น กลุ่มพลังงาน เป็นต้น” นายจุมพล กล่าว