นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งในภาคของการทำงานและการท่องเที่ยว ส่งผลให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานกองทุนของบริษัทฯ สามารถสร้างผลงานออกมาได้เป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดที่ผันผวน คณะกรรมการพิจารณาการลงทุนฯ จึงมีมติให้บริษัทฯ เตรียมจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยกองทุนสำหรับรอบไตรมาส 4/2565 จากงวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565-31 ธันวาคม 2565 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,980.79 ล้านบาท
นายณรงค์ศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีกองทุน Flagship ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และสามารถสร้างรายได้ในไตรมาส 4/65 รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอยู่หลายกองทุน ซึ่งแบ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 1 กองทุน คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ลงทุนในกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์ด้านโทรคมนาคม โดยรายได้หลักของกองทุนมาจากสัญญาให้เช่าทรัพย์สินเสาโทรคมนาคม และสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) ระยะยาว กับกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งทางกองทุนได้รับค่าเช่าที่ครบถ้วนและต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 นี้ กองทุนได้พิจารณาจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2535 บาท/หน่วยจากกำไรสะสม ทำให้ปี 2565 กองทุนมียอดจ่ายปันผลรวมปี 2565 อยู่ที่ 1.0335 บาท/หน่วย ที่แม้ว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 1 แต่มีสาเหตุเกิดจากสัญญาเช่าอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภท Active ที่มีการสิ้นสุดลงในปี 2564 และทิศทางการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยในวันที่ 7 มีนาคม 2566(1)
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ผลงานดี จะมีจำนวน 3 กองทุน โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่า จำนวน 2 กองทุน คือ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไพร์มออฟฟิศ (POPF) กองทุนที่ลงทุนในอาคารสำนักงานให้เช่า 3 แห่ง คือ อาคารสมัชชาวานิช 2, อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ และ อาคารบางนา ทาวเวอร์ มีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณร้อยละ 80-90 ของพื้นที่ให้เช่าของแต่ละอาคาร (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565) กองทุนจึงพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2750 บาท/หน่วย ทำให้มียอดจ่ายปันผลรวมปี 2565 อยู่ที่ 1.0382 บาท/หน่วย กองทุนต่อมาคือ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียล โกรท (CPNCG) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าของอาคารสำนักงานให้เช่าบริเวณเขตปทุมวัน โดยในสิ้นปี 2565 มีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานของกองทุนที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 99 ของอัตราพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของกองทุน โดยทางกองทุนพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2400 บาท/หน่วย ทำให้มียอดจ่ายปันผลรวมปี 2565 อยู่ที่ 0.9400 บาท/หน่วย ทั้งนี้ กองทุนได้พิจารณาสำรองเงิน และดำเนินการปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ (renovation) ในปีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันการครองตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอได้มากขึ้น
สำหรับอีกหนึ่งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลงานดีเช่นกัน จะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม ซึ่งก็คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอราวัณ โฮเทล โกรท (ERWPF) ลงทุนในโรงแรมไอบิส ป่าตอง และโรงแรมไอบิส พัทยา ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาส 4/65 อยู่ที่ร้อยละ 79 ของจำนวนห้องพักรวมทั้งหมดของกองทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามสถานการณ์การผ่อนคลายมาตรการ Covid-19 ของภาครัฐ ที่ส่งผลให้การท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ประกอบกับเป็นช่วง High Season ของโรงแรม จึงส่งผลให้กองทุนมีรายได้ที่อยู่ในเกณฑ์ดี กองทุนจึงพิจารณาจ่ายลดทุนในอัตรา 0.1900 บาท/หน่วย ส่งผลให้การจ่ายเงินลดทุนทั้งปี 2565 อยู่ที่ 0.4126 บาท/หน่วย ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาฯ จะมีกำหนดจ่ายปันผล-จ่ายลดทุน ในวันที่ 3 มีนาคม 2566 นี้