นายคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) เปิดเผยว่าในปี 2566 บลจ. แอสเซท พลัส ตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ(AUM) ไว้ที่ประมาณ 88,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% จากปี 2565 ซึ่งมีAUM อยู่ที่กว่า 72,000 ล้านบาทเติบโต11%
ทั่งนี้บริษัทยังคงมุ่งนำเสนอทางเลือกในการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน(Investment Solutions Excellence) ด้านธุรกิจกองทุนรวมจะมุ่งเน้นไปที่การจัดตั้งกองทุนใหม่ โดยเน้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่นิยม รวมทั้งยังตอบโจทย์นักลงทุนได้แม้อยู่ในช่วงที่ตลาดมีสภาวะผันผวน เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุน
สำหรับมุมมองด้านการลงทุน นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดทั่วโลก เริ่มต้นที่สหรัฐฯ ธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะชะลอ นโยบายปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย รวมถึงอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ขณะที่ภาพการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ค่าเงินกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง หนุนให้หุ้นมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น คาดการณ์ประมาณการ GDP ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ในส่วนของประเทศจีน มีการเปิดเมืองเร็วกว่าที่คาด จากการใช้นโยบาย Zero-COVID ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนในปี 2566 นี้ อีกทั้งจีนยังมีนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์และเตรียมผ่อนคลายมาตรการ Three Arrows Policy เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของตลาด พร้อมกันนี้คาดว่ารัฐบาลจะมีการออกนโยบายการคลังและการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 นี้ แนะนำพอร์ตการลงทุน ด้วยการลงทุนในประเทศจีน ทั้งกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ หรือจะกระจายการลงทุนมาในไทย เวียดนาม และตลาดประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย รวมทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น ก็จะเน้นลงทุนในหุ้นสไตล์ Value โดยทั้งหมดนี้ สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับลูกค้าได้
นอกจากนี้บลจ. แอสเซท พลัส จะทำการเสนอขาย กองทุนเปิด แอสเซทพลัส โกลบอล คาร์บอนเครดิต ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ASP-GCC-UI) กองทุนไทย กองทุนแรกที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคาร์บอนเครดิต ผ่านกองทุน KraneShares Global Carbon Strategy ETF Feeder Fund (กองทุนหลัก) โดยที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80 % ของ NAV เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของคาร์บอนเครดิตทั่วโลก จากการที่นานาประเทศ มีเป้าหมายในการให้ความสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอน ผสานกับ นโยบายภาครัฐและความกระตือรือร้นขององค์กร ที่ส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเครดิตมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยความต้องการคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้น 100 เท่าในปี 2050 (Source: McKinsey as of Jan 2022) จุดนี้จะเป็นโอกาสที่น่าเข้าไปลงทุนเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต สำหรับกองทุน ASP-GCC-UI สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี IHS Markit Global Carbon Index จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีความเข้าใจในการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าฟิวเจอร์สเป็นอย่างดี ทั้งนี้สัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน1 กองทุนนี้มีความเสี่ยงในระดับ 8+ กำหนดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่ 25 – 31 ม.ค. 2566 (ทั้งนี้กองทุนอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.)