โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
เผลอไปไม่นานก็ใกล้จะสิ้นปี มองย้อนกลับไปผมคิดว่าปี 2565 เป็นปีที่ท้าทายกับการลงทุนมาก โดยเมื่อช่วงต้นปีนักลงทุนต่างมีมุมมองว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากที่การระบาดของโควิท19 นั้นลดลง อย่างไรก็ตามจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกับความร้อนแรงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อที่ตอนแรกถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวนั้นกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องหันกลับมาติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งปี นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED และต่างรอคอยให้ตัวเลขเงินเฟ้อนั้นผ่อนคลายลง
อย่างไรตาม ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดประจำเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐฯที่ 7.1% เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 7.3% ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานที่ตัดผลกระทบจากราคาพลังงานและอาหารนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 6% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 6.1% เช่นกัน โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคารถมือสองที่ปรับตัวลดลงและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงหนุนเงินเฟ้อจากทางภาคบริการโดยสะท้อนจากตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัว จากตัวเลขเงินเฟ้อข้างต้นได้สร้างความหวังแก่นักลงทุนว่าปัญหาเงินเฟ้อนั้นได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และคาดว่า FED จะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลงจาก 75 bps สู่ที่ระดับ 50 bps และคาดว่าจะลดลงเหลือ 25 bps ในระยะถัดไป ซึ่งจะช่วยลดแรงกัดดันต่อตลาดไปได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯจะลดลงสู่เป้าหมายที่ประมาณ 2% ทำให้มีโอกาสว่า FED จะยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงไปตลอดทั้งปี 2023 ทำให้ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะต้องเผชิญกับสภาวะชะลอตัวในปีหน้าจากผลกระทบของต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูง
หากย้อนกลับมามองที่ประเทศไทยก็จะเห็นภาพของการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน โดยตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 5.55% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 5.98% โดยมีสาเหตุหลักจากการชะลอตัวของราคาอาหาร ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวที่ 3.22% ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 3.17% แต่สิ่งที่ประเทศไทยแตกต่างจากสหรัฐฯ นั้นคือประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยยังมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคท่องเที่ยว ที่จากการสำรวจที่ผ่านมาในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับสภาวะถดถอย ภาคการท่องเที่ยวก็ยังเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจำกัด ผู้คนเลือกที่จะชะลอการบริโภคในส่วนอื่นแต่ไม่ได้เลือกที่จะลดการท่องเที่ยวลง และจากแนวโน้มที่ประเทศจีนจะกลับมาเปิดประเทศในปีหน้าก็จะยิ่งสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนระยะสั้นในช่วงครึ่งแรกของปีที่จะทำให้มีเม็ดเงินกระจายลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
จากภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ทำให้ผมยังมีความเห็นว่าตลาดทุนของประเทศไทยยังคงน่าสนใจ อย่างน้อยก็ในช่วงต้นปีหน้า โดยนักลงทุนอาจจะเลือกที่จะรอให้ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐส่งผลเต็มที่ในช่วงไตรมาสแรก และยังเลือกลงทุนในประเทศไทยเพื่อรับประโยชน์จากการฟื้นตัวและค่อยประเมินสถานการณ์อีกครั้ง และสิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างผันผวน เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยมหภาพที่ยากจะคาดเดาครับ
และนี้ก็คือบทความส่งท้ายของปี 2565 ครับขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับการลงทุนครับ