xs
xsm
sm
md
lg

เปิดเส้นทางตระกูล "ล่ำซำ" ชาวจีนโพ้นทะเล 9 ทศวรรษเมืองไทยประกันภัย คู่คนไทยยิ้มได้เมื่อภัยมา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เส้นทางตลอด 9 ทศวรรษ เมืองไทยประกันภัย
หากเปรียบคนจีนเป็นเมล็ดพืชที่ลอยตามกระแสน้ำ เมื่อน้ำพัดพาไปบนพื้นที่หรือแผ่นดินใด ก็ดูเหมือนเมล็ดพันธุ์นั้นจะเจริญงอกงามในทุกสถานที่ เช่นเดียวกับคน "ตระกูลอึ้ง" ชาวจีนโพ้นทะเลจากมณฑลกวางตุ้ง ที่ดั้นด้นฝ่าคลื่นลมท้องทะเลเข้ามาปักหลักในแผ่นดินสยาม จนกระทั่งกลายเป็น "ตระกูลล่ำซำ" ที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจและการธนาคารในทุกวันนี้

นายอิ้งเมี่ยวเหงี่ยน บรรพบุรุษของตระกูลล่ำซำ เดินทางจากมณฑลกวางตุ้ง เข้าสู่ประเทศไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และยังตั้งชื่อภาษาไทยของตนเองว่า "นายล่ำซำ" ที่มีความหมายว่า "คนใส่เสื้อสีน้ำเงิน"

นายอึ้งเมี่ยวเหงี่ยน เปิดร้านขายไม้ซุง ชื่อว่า "ห้างล่ำซำ" เป็นผู้ทำธุรกิจป่าไม้ในแถบจังหวัดนครสวรรค์และแพร่ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้นำชุมชนชาวจีนแคะ ที่ก่อตั้ง "โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ" เมื่อปี พ.ศ. 2446 เพื่อช่วยเหลือดูแลชาวจีนผู้ยากไร้ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2448

ต่อมา นายอึ้งยุกหลง ล่ำซำ ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาดูแลรับผิดชอบธุรกิจของตระกูล โดยสมรสกับ นางทองอยู่ หวั่งหลี มีบุตรด้วยกัน 7 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้ขยายมาทำธุรกิจ "กวางอันหลงประกันภัย" ทำหน้าที่รับประกันวินาศภัย การขนส่งสินค้า ซึ่งธุรกิจได้ขยายตัวและเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ล่ำซำประกันภัยและคลังสินค้า จำกัด" โดยภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)" ตามลำดับ

นอกจากนี้ นายอึ้งยุกหลงยังมีบทบาทและอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งใน "สมาคมพาณิชย์จีน" ซึ่งเป็นสมาคมที่มีอิทธิพลต่อชาวจีนโพ้นทะเลและชาวไทยเชื้อสายจีนมากที่สุดในยุคนั้น และนายอึ้งยุกหลงยังได้รับตำแหน่งประธานหอการค้าจีน สมัยที่ 9 อีกด้วย

ตระกูลล่ำซำ มิใช่เป็นเพียงตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงยาวนานเท่านั้น แต่เป็นตระกูลที่ยังรักษาเอกภาพของตระกูลไวัอย่างเหนียวแน่น ด้วยความรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทายาทที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ธุรกิจถูกขยายออกไปอย่างกว้างขวาง


ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 นายโชติ นายจุลินทร์ และ นายเกษม ทายาทของตระกูลล่ำซำ รุ่นที่ 3 และญาติมิตรชาวไทยเชื้อสายจีน ได้ร่วมกันก่อตั้ง "ธนาคารกสิกรไทย" ขึ้นในปี พ.ศ. 2488 ต่อมาในปี พ.ศ. 2494 นายจุลินทร์ ล่ำซำ ได้เปีด บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต โดยมี นายบัญชา ล่ำซำ หลานชายซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 4 เข้ามาช่วยบริหารงาน ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ จนมาปี พ.ศ. 2503 นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ทายาทรุ่นที่ 4 เริ่มเข้ามาทำงานธุรกิจประกัน โดยเริ่มต้นจากตำแหน่งเสมียน ช่วยเคลมรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุ ยุคนั้นประกันภัยและประกันชีวิตยังอยู่รวมกันในบริษัทเดียว แต่หลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 จึงได้แยกส่วนประกันภัยออกมาตั้งเป็น บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด

การบริหารงานกว่า 60 ปีของนายโพธิพงษ์นั้นต้องพบเจอวิกฤตมากมาย แต่ด้วยความตั้งมั่นและยึดหลัก "ความซื่อสัตย์สุจริต" ทั้งต่อลูกค้า และต่อองค์กรเป็นสำคัญ จึงสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้ด้วยดี


ปี พ.ศ. 2541 นางนวลพรรณ ล่ำซำ ทายาทรุ่นที่ 5 ของตระกูลได้เข้ามาดูแลรับผิดชอบงานด้านการขายและการตลาด โดยในปี พ.ศ. 2548 ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจและบริการ จึงเกิดการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ากับ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด ในชื่อ "บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาซน)" และในปี พ.ศ. 2560 นางนวลพรรณได้ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทำให้ปัจจุบัน บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทประกันวินาศภัยของคนไทยที่ดำเนินธุรกิจยาวนานที่สุดในประเทศไทย และยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง ด้วยเอกลักษณ์ในการบริหารงานที่ซื่อสัตย์สุจริตจริงใจโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตราตั้งแก่ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบไป เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ มีวาระครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้ง จึงถือเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษ ผู้บริหารพนักงานในทุกยุคสมัย และเป็นแรงบันดาลใจให้มุ่งมั่น ตั้งใจดำเนินงาน เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้ามั่นคงแก่องค์กร ด้วยปณิธานยึดมั่นในความดี มีธรรมาภิบาล ขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน

ทุกก้าวเดินคือภารกิจแห่งความภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเยียวยาเวลาเกิดภัย รวมไปถึงความต้องการที่จะช่วยส่งเสริมชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น รู้สึกอุ่นใจไม่กังวลต่อภัยอันตราย และนี่คือเส้นทางของ 9 ทศวรรษแห่งรอยยิ้ม "เมืองไทยประกันภัย ยิ้มได้เมื่อภัยมา"
กำลังโหลดความคิดเห็น