กรุงเทพประกันภัยย้ำฐานะการเงินแกร่ง เคลมโควิดจบแล้ว ไตรมาส 2 เหลือ 3.4 พันล้านน้อยลงกว่าไตรมาสแรก ขณะที่กำไรการลงทุนยังดี เชื่อไตรมาสที่เหลือได้เห็นกำไรจากการรับประกัน เงินกองทุนสำรองพุ่งแตะ 200% ใกล้เคียงก่อนโควิด-19 ระบาด
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ยอดการจ่ายสินไหมโควิดของบริษัทในไตรมาสที่ 2 จะลดลงจากไตรมาสแรก โดยคาดว่าจะมียอดเคลมสินไหมประมาณ 3.4 พันล้านบาท และถือเป็นไตรมาสสุดท้ายของการสิ้นสุดความคุ้มครองสำหรับการรับประกันภัยโควิดของปี 2564-2565 ซึ่งต่อจากนี้บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะมีกำไรจากการรับประกันภัยดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ หลังจากปัจจุบันผลการดำเนินงานส่วนประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันโควิด ประกอบด้วย รถยนต์ อัคคีภัย ประกันภัยทางทะเล มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 40% ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกำไรจากการลงทุนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับพันล้านบาทเช่นเดียวกับในช่วงไตรมาสแรก
ทั้งนี้ ยอดรวมการเคลมประกันโควิดของบริษัทปี 2564-2565 อยู่ที่ประมาณ 8.7 พันล้านบาท แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีเงินสำรองกองทุนอยู่ที่ 172.3% ซึ่งสูงกว่าที่ คปภ.กำหนดไว้ที่ระดับ 140% โดยเชื่อว่าหลังจากไตรมาส 2 เป็นต้นไปเงินสำรองกองทุนของบริษัทจะขึ้นมาอยู่ที่ 200% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด นอกจากนี้ ในช่วงที่ทำการจ่ายเคลมโควิดบริษัทยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องใกล้เคียงเงินสดรองรับอยู่ 466% ประกอบด้วย เงินสด เงินฝาก สินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันทีอยู่ในระดับสูง รวมถึงเงินทุนในส่วนของเจ้าของอีก 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าบริษัทจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานะทางการเงินแน่นอน
"สถานะทางการเงินเราถือว่ามั่นคงมาก ที่ผ่านมาเราถือเป็นบริษัทที่มีค่าเฉลี่ยในการจ่ายเคลมสินไหมเฉลี่ยต่ำมากอยู่ที่ 11 วันต่ำกว่าที่ คปภ.กำหนด เพราะเราใช้พนักงานกว่า 400 คนจากหลายส่วนมาช่วยดูแล ซึ่งถ้าเอกสารครบถ้วน มีผลชัดเจนเราสามารถส่งข้อความอนุมัติให้แก่ลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็มีบางเคสเช่นกันที่เอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนอาจต้องใช้เวลาในการขอเอกสารหรือพิจารณา เพราะยอดเคลมแต่ละวันมีจำนวนมาก บางที่สูงถึงกว่า 5 พันเคสต่อวันเลยทีเดียว"
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับเบี้ยประกันภัยของบริษัทในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตประมาณ 2% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าถึงระดับ 5-6% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ และการรับประกันภัยรถยนต์น่าจะเป็นสินค้าหลักที่บริษัทมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยมากสุด โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปิดตัวของบริษัทประกันภัยทำให้มีเบี้ยประกันภัยในส่วนนี้กลับเข้ามา โดยครึ่งปีแรกการรับประกันภัยรถยนต์ของบริษัทเติบโตขึ้นประมาณ 15% และมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรา Loss ratio มีอัตราลดลงอยู่ที่ 50%
"ที่เราโตแค่ 5-6% เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาเราขายโควิดไปค่อนข้างเยอะกว่า 1.3 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งเบี้ยที่เข้ามามันไปกลบส่วนโควิดที่หายไป ถ้าไม่นับจากฐานที่มีโควิดเดิมเราก็โตกว่า 10% อยู่แล้ว ซึ่งปีนี้รถยนต์น่าจะมีการเติบโตมากหน่อยเพราะมีเบี้ยกลับเข้ามาจากการปิดตัว และคาดว่าอัตราเบี้ยต่ออายุก็น่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากอัตราค่าซ่อม อะไหล่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น"