บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้าAUMโต 10% เน้นใช้เทคโนโลยียกระดับบริการ ผลงานกองทุน และสินค้า ชูแนวทางลงทุนESG ตอบโจทย์เพื่อสังคม พร้อมลุยออกETF ธีมเมติกฟันด์ 5-6 กองลุยเมกกะเทรนด์แห่งอนาคต ระบุเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อกดดันการลงทุน ส่วนสงครามยังต้องจับตาต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นไทยผลกระทบยังน้อยดัชนีปีนี้อยู่ในกรอบ 1,580-1,770 กลุ่มพลังงานผลประกอบการจ่อพุ่งรับราคาน้ำมัน
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นการบริหารงานใน 3 ส่วนด้วยกันประกอบด้วย 1.ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.การลงทุนแบบยั่งยืน ซึ่งบลจ.มีการออกกองทุน เน้นย้ำในเรื่อง กองธรรมาภิบาล และESG 3.ETF ธีมมาติกฟันด์ โดยก่อนหน้านี้ในประเทศไทยมีประมาณ 6-10 และส่วนใหญ่จะเป็นอินเด็กซ์ฟันด์ แต่บริษัทเชื่อว่ายังมีโอกาสของETFที่เป็นธีมเมติกฟันด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศเพื่อผู้ลงทุนไทยมีทางเลือกมากขึ้น แต่สิ่งที่เราทำจะต้องตอบโจทย์ที่ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร(AUM)อยู่ที่ 10% จากในปีที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้ 5% ใกล้เคียงอุตสาหกรรม โดยมี AUM 2.43 แสนล้าน จากปี 2563อยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท โดยในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัทยยังได้รับความไว้วางใจทั้งจาก แบงก์กรุงไทย WHA เช่นเดียวกับกองทุนส่วนบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทจดทะเบียนและสหกรณ์หลายแห่งอย่างต่อเนื่อง
"ในส่วนของETFที่เราคาดว่าจะออกเพิ่มเติมในปีนี้จะมีประมาณ 5-6 กองทุน โดยธีมของETFเราจะออกใหม่ต้องน่าสนใจและเป็นเมกกะเทรนด์ที่จะมาแน่ๆในระยะยาวไม่ได้มาแล้วหายไป ซึ่งจะเหมาะกับการลงทุนในระยะกลาง-ยาว"นายวนากล่าว
นายวนา กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทพยายามโปรโมทการลงทุนรูปแบบESG และETF อย่างต่อเนื่องตามหลักที่กล่าวไปข้างต้นคือ ดิจิทัล ESG และธีมมาติกอีทีเอฟ โดยกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในส่วนของรายได้และกำไร ซึ่งจะให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกภาคส่วนเพื่อส่งต่อแก่ลูกค้า และจะต้องมีองค์ประกอบจาก คุณภาพของกองทุน ผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ และการปรับปรุงเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในการลงทุนมากขึ้น
"จากนี้เราจะโพกัส 4 เรื่อง 1.โมบายแอฟ ยูโอบี อินเวสท์ เพื่อการให้บริการ 2.ช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ 3.ให้ความสำคัญด้าน ESG 4.รีไรท์เม้นท์โซลูชัน ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าทั้งหมด รวมถึงตัวแทนในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้วย โดยจะให้ความสำคัญตั้งแต่การเริ่มออกโปรดักซ์ และจังหวะในการลงทุนให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้ลูกค้ามีพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ"นายวนากล่าว
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่า การเติบโตของสินทรัพย์รวมต่อจากนี้จะมีสัดส่วนของกรมธรรม์ยูนิตลิงค์เพิ่มขึ้น ซึ่งลูกค้าปัจจุบันมีสัดส่วนของลูกค้านอกเหนือจากฐานเงินฝากเพิ่มทั้งจาก โบรกเกอร์ และบริษัทประกันชีวิต นอกจากนี้ทิศทางการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นายวนา กล่าวอีกว่า ภาพรวมการลงทุนในปีนี้บริษัทคาดว่าจะเห็นภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และการปรับลดนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหุ้นไทยคาดว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยหากสงคราคลี่คลายในอนาคตเชื่อว่า ภาพจากจากแรงกดดันของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการลงทุนต่อไป โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,580-1,770 จุด ซึ่งการที่หุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนักส่วนหนึ่งน่าจะมาจากอานิสงส์ของราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"เรามีสัดส่วนบริษัทพลังงานที่ได้ประโยชน์ แต่ถ้ามองดูพื้นฐานเศรษฐกิจเราเป็นเกษตรกรรมที่มีการการส่งออก 60% และโดยรวมจีดีพีเราไม่มีนักท่องเที่ยวมาก็มาความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 3.5-4% แต่ถ้าสงครามจบเศรษฐกิจโลกก็จะไปเจอปัญหาเดิม เพราะถ้าเงินเฟ้อสหรัฐฯระดับ 5% จะไม่ดีต่อการลงทุน สุดท้ายแล้วหลายประเทศจะใช้นโยบายควบคุมเงินเฟ้อกันหมด และเฟดไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเพราะศัตรูอันดับแรกของสรัฐฯคือเงินเฟ้อ ไม่ใช่รัสเซีย อาจมีการปรับได้ถึง 5 ครั้งและอยู่ในระดับเดิมก่อนที่จะเกิดโควิด"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำอยากให้นักลงทุนมองหาโอกาสในอนาคตที่จะได้ปรับประโยชน์ ซึ่งสัดส่วนการลงทุนต้องเหมาะสม และอาจมีการลงทุนในเมกกะเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งในส่วนของ การเงินไร้ตัวกลาง โรโบติกส์ AI เป็นต้น
"ปีนี้เราจะเห็นรายได้ของบริษัทจดทะเบียนของบริษัทพลังงานจะก้าวกระโดด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนใหญ่และสามารถดึงดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปได้ แต่เราจะเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่เกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆ ทำให้มีโอกาสในการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินอยู่ และเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการลงทุนธุรกิจในอนาคต มากกว่ากลุ่มอื่น"นายวนากล่าว