นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าปัจจุบันการลงทุนในธีมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicles รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีแนวโน้มจะเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกในระยะยาวมากกว่า 10 ปี จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Electric Vehicles and Future Mobility (SCBEV) เริ่มเสนอขายครั้งแรก 21-25 กุมภาพันธ์ 2565 นี้ โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ทั้งนี้ ได้เปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน 3 ชนิด ได้แก่ 1) ชนิดสะสมมูลค่า - SCBEV(A) 2) ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ - SCBEV(E) และ 3) ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว - SCBEV(SSF) โดยสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles) หรือที่คุ้นหูกับคำว่า EV คือรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปในการขับเคลื่อน ซึ่งรวมถึง 1) Hybrid Vehicles (HV) รถ EV รุ่นแรกๆ ที่ใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนร่วมกัน 2) Plug-In Hybrid Electric Vehicles (PHEV) รถยนต์ที่อัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกมาเก็บในแบตเตอรี่ วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลมากขึ้น 3) Battery Electric Vehicles (BEV) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวและไม่มีเครื่องยนต์ และ 4) Fuel Cell Electric Vehicles (FCEV) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน โดยใช้พลังงานที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) จากการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ไม่มีการปล่อย CO2 มีเพียงการปล่อยน้ำเท่านั้น ซึ่งเหล่านี้โดยเราจะเรียกรวมกันว่า รถยนต์ไฟฟ้า
“รถยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าปี 2040 ยอดขายรถยนต์ EV จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด และมากกว่า 33% ของจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทั่วโลกคือรถยนต์ไฟฟ้า และในปี 2025 ประเทศจีนจะมีสัดส่วนของยอดขาย EV เกือบ 50% จากทั่วโลก เนื่องจากสามารถขับได้ระยะทางเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้แพลตฟอร์ม Ride Sharing อาจส่งผลให้การใช้รถยนต์ EV มีต้นทุนต่ำลงและสามารถแข่งขันได้หากเทียบรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงปกติ (Fossil) นอกจากนี้ การใช้รถยนต์ EV ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ ทำให้หลายประเทศได้เสนอมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ EV มากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 18 รายจาก 20 รายมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทเอกชนที่ต้องการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับระบบการขนส่งสินค้าของบริษัทมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็มีโอกาสที่จะเติบโตควบคู่กันไปด้วย โดยจากปี 2015 ถึง 2030 นักวิเคราะห์เชื่อว่าความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1,829% รวมไปถึงรายได้จากแร่ต่างๆ เช่น ลิเทียม ทองแดง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน” นางนันท์มนัสกล่าว
กองทุน SCBEV เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ กองทุน Krane Shares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (กองทุนหลัก) เป็นกองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) บริหารโดย Krane Funds Advisors, LLC และลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NYSE Arca สหรัฐฯ มุ่งหวังให้ผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิง ซึ่งปัจจุบันคือ Bloomberg Electric Vehicles Index เป็นดัชนีที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม EV Ecosystem ได้ดี โดยกระจายการลงทุนครอบคลุมประเทศหลักๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ เช่น จีน สหรัฐฯ และเยอรมนี เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ในสกุลเงินต่างประเทศที่กองทุนถืออยู่เทียบกับสกุลเงินบาท ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับกองทุนหลักจะลงทุนในบริษัทผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและ Supply Chain ที่เกี่ยวข้อง เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน, เซ็นเซอร์, ลิเทียม และทองแดง เป็นต้น โดยเบื้องต้นได้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์แห่งอนาคต เช่น Tesla - บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด สัญชาติอเมริกัน, Nidec - ผู้ผลิตและจำหน่ายมอเตอร์ไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น และ Analog Devices - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติอเมริกัน นอกจากนี้ ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหลักยังมี Track Record ที่ดีนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ที่มา : Fund Factsheet ของกองทุนหลัก ณ เดือนธันวาคม 2564)