ไทยประกันชีวิตจ่อไอพีโอ 2.38 พันล้านหุ้น ลุยลงทุนดิจิทัล พร้อมเสริมแกร่งเงินทุนและทำการตลาด โชว์ 9 เดือนกำไรสุทธิกว่า 8 พันล้าน เงินกองทุนสูงกว่าเกณฑ์ 343%
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 2,384,318,900 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 20.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วย
(1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 1,000,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 8.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และ
(2) หุ้นสามัญที่ถือโดยผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 1,384,318,900 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 11.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
นอกจากนี้ ณ วันปิดการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ หากมีผู้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากกว่าหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมด อาจมีการพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้แก่ผู้ลงทุนจำนวนไม่เกิน 322,547,900 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ไทยประกันชีวิตจะนำไปลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และการทำการตลาด รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านพันธมิตร รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน
สำหรับความแข็งแกร่งทางการเงิน เมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานรอบระยะเวลา 9 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ไทยประกันชีวิตมีรายได้รวม 75,594.67 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 1.3 และมีกำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8,198.70 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 16.7 โดยมีจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้มากกว่า 4,500,000 กรมธรรม์ทางด้านผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2554 - 2563 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี ด้วยกลยุทธ์การจัดการที่สามารถบรรลุผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว
โดยไทยประกันชีวิตสามารถรักษาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีการเตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงยังมีสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio: CAR) อยู่ที่ร้อยละ 343.0 ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. จะเข้ามาดูแลคือร้อยละ 120 รวมไปถึงยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A- (ระดับสากล) และ AAA (tha) (ระดับภายในประเทศ) โดยสถาบัน Fitch Ratings ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงิน
เมื่อผนวกกับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญคือ บริษัท เมจิ ยาซูดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ จำกัด (MY) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่และเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน อินโดนีเซีย โปแลนด์ และประเทศไทย โดย MY ให้การสนับสนุนไทยประกันชีวิตในด้านต่างๆ เช่น การขยายตลาดองค์กรญี่ปุ่น (Japanese Worksite Marketing) การสนับสนุนด้านองค์ความรู้และความชำนาญต่างๆ รวมถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยี และการเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มตลาดใหม่ๆ โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางธุรกิจระดับโลกของ MY
นอกจากนี้ ไทยประกันชีวิตยังมีผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรและหลากหลาย ทั้งด้านการคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ การออม การลงทุน และการวางแผนมรดก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันในแบบเฉพาะบุคคล รวมถึงเป็นผู้นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ไทยประกันชีวิตยังได้สร้างฐานลูกค้ากลุ่มสถาบันและองค์กร ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องสำหรับการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม (Cross-selling)
“จุดแข็งที่แตกต่างและสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ไทยประกันชีวิตเป็นแบรนด์ที่มีความเข้มแข็ง ด้วยจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้กว่า 4,500,000 กรมธรรม์3 ซึ่งสอดคล้องกับ Brand Purpose ของไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความชื่นชอบ (Admired Brand) ได้รับความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ (Trusted Brand) และเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนในสังคม (Inspire Brand)” นายไชยกล่าว