บลจ.กสิกรไทยคาดหุ้นไทยปีหน้า 1,850 รับเปิดประเทศเศรษฐกิจฟื้น จับตาระบาดรอบใหม่ แต่เชื่อ 1,550 เอาอยู่หลังตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนเพิ่ม ระบุต่างชาติยังเมิน หุ้นไทยขาด New S-curve ใหม่
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศไทยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหากเทียบกับประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง ซึ่งกลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ทำให้ไทยที่มีอัตราการฉีดวัคซีนน้อยกว่าย่อมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าหุ้นไทยน่าจะสามารถยืนอยู่ได้ที่แนวรับระดับ 1,550 จุด เนื่องจากมีปัจัยที่แตกต่างไปจากเดิมตามจำนวนของผู้ฉีดวัคซีน
“เยอรมนีมีอัตราการฉีดเข็มแรก 70% ไทย 65% ซึ่งถ้าเยอรมนีกลับมาระบาดไทยก็มีโอกาสเหมือนกัน แต่รอบนี้คงต่างออกไป และไม่น่าจะเห็นนโยบายเหวี่ยงแหถึงขั้นปิดประเทศแล้ว รวมการฉีดวัคซีนที่แนวโน้มเพิ่มขึ้นคงจะมีความรุนแรงลดลง”
ทั้งนี้ แนวโน้มหุ้นไทยสิ้นปีนี้ดัชนีมีโอกาสปิดที่ระดับ 1,650 จุด ส่วนปี 2565 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,850 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3.9% ตามรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย และอัตราการฉีดวัคซีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากปัจจุบันรัฐบาลทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้วถึง 86 ล้านโดส และน่าจะครบ 100 ล้านโดสภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และครบ 120 ล้านโดสภายในปีนี้
นอกจากนี้ ในปีหน้าแนวโน้มการเปิดประเทศของไทยน่าจะมีส่วนช่วยด้านการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 6-8 ล้านคน รวมถึงการฟื้นตัวของการส่งออกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะส่งให้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในหุ้นไทยดีขึ้น
“หุ้นไทยปีนี้มีอัตราผลตอบแทนประมาณ 13.4% ส่วนปีหน้าหุ้นไทยน่าจะมีอัตราผลตอบแทนได้ประมาณ 10% และมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ประมาณ 15%”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติยังไม่เห็นสัญญาณการเข้าลงทุนเพิ่มหลังจากมีการขายออกมาตลอด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2013 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วประมาณ 8 แสนล้านบาท โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโครงสร้างตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่มีธุรกิจใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นทำให้ขาดความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ
“ในปีที่ผ่านมาต่างชาติกับสถาบันมีการขายสุทธิกลับกันกับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งในส่วนของกองทุนก็เป็นการขายสุทธิด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าหุ้นไทยมีการปรับฐานกองทุนก็พร้อมจะเข้าลงทุนเพิ่มเหมือนกัน”
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนและปรับเพิ่ม ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร หลังจากมีดีลใหญ่ของทรูและดีแทค น่าจะให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นและการแข่งขันด้านราคาลดลง, กลุ่มแบงก์และไฟแนนซ์ จากการที่หลายแห่งเริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจและมีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จะเป็นช่องทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับกลุ่มค้าปลีก ที่มีการซินเนอร์ยีในกลุ่ม สร้างการเติบโตรองรับแข่งขันบนช่องทางออนไลน์ ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว และเฮลท์แคร์ยังได้ประโยชน์หลังการเปิดประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะทยอยกลับเข้ามา