นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า กองทรัสต์ WHART เป็นกองทรัสต์ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงาน ที่สัญญาระยะยาวส่วนใหญ่จากผู้เช่าหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ได้ขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) อย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปจะโฟกัสที่โครงการ Built- to-Suit และ General Warehouses ที่มีมาตรฐานระดับพรีเมียม รวมทั้งยังมีการให้บริการโซลูชันครบวงจร ทั้งระบบสาธารณูปโภค แพลตฟอร์มโครงสร้างด้านพลังงาน และระบบดิจิทัล โดยโครงการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ความต้องการสูงในบริเวณถนนบางนา-ตราด และพื้นที่ที่สอดรับกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งพื้นที่บนจุดยุทธศาสตร์ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันกองทรัสต์ WHART มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในกรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่า และสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 31 โครงการ หรือมีพื้นที่เช่าอาคารประมาณ 1,398,352 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ระดับ 42,638.93 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปที่ยังคงเป็นผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ในการนำทรัพย์สินคุณภาพระดับพรีเมียมเข้ากองทรัสต์ WHART ทุกปีต่อเนื่อง
“ในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปได้นำทรัพย์สินจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจกต์ 3) และโครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์ค ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เข้ากองทรัสต์ WHART (เพิ่มทุนครั้งที่ 6) โดยทั้ง 3 โครงการมีกลุ่มผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต เช่น กลุ่มธุรกิจ E-Commerce, FMCG และ Logistic ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”
นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) กล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่ 7 เป็นการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,550 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้จะส่งผลให้ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์แตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท และมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART รักษาความเป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดประเทศไทย อีกทั้งการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ยังช่วยสร้างการเติบโตและมั่นคงให้แก่รายได้ของกองทรัสต์อย่างมั่นคงและยั่งยืน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นหน่วยอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับความโดดเด่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน 2 โครงการ และโครงการประเภท General Warehouses จำนวน 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวม 3 โครงการประมาณ 184,329 ตารางเมตร ประกอบด้วย
1. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 24,150 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคารวมประมาณ 23,205 ตารางเมตร
2. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม.23 โปรเจกต์ 3) ตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 30,040 ตารางเมตร
3. โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์ค ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่พื้นที่ EEC และโครงการนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : กลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บางปะกง ด้วยเช่นกัน โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 130,139 ตารางเมตร
โดยทั้ง 3 โครงการมีกลุ่มผู้เช่าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและมีความมั่งคง อย่าง Alibaba Group Shopee Xpress และ ทีดี ตะวันแดง ดังนั้น การเพิ่มทุนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างมีเสถียรภาพ พร้อมรับศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
“ความโดดเด่นการเพิ่มทุนในครั้งนี้เป็นการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเห็นจากพื้นที่เขต EEC เพิ่มขึ้นจาก 14.1% เป็น 20.6% ซึ่งถือเป็นการสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เน้นการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในขณะที่สัดส่วน Built to Suit เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 58% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพรายได้ความมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ การเพิ่มทุนครั้งนี้ยังขยายสัดส่วนลูกค้า E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญจาก 6% เป็น 17% และทำให้กองทรัสต์เองมีผู้เช่ารายใหญ่ในกลุ่ม E-Commerce เกือบครบทุกราย ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Shopee Xpress, JD Central, Kerry และ Flash Express เป็นต้น นอกจากนี้ ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ยังมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในระดับสูงถึงร้อยละ 92 และมีอายุสัญญาเช่าคงเหลือของผู้เช่าเฉลี่ย (WALE) หลังทำการเพิ่มทุนอยู่ในระดับสูงถึง 3.5 ปี เนื่องจากโครงการที่กองทรัสต์ลงทุนส่วนใหญ่เป็นประเภท Built-to-Suit ซึ่งมีสัญญาเช่าของผู้เช่าที่ค่อนข้างยาว โดยอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยของทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้อยู่ที่ 10.7 ปี
ด้านนายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ WHART กล่าวว่า กองทรัสต์ WHART เป็นผู้นำกองทรัสต์ในกลุ่มคลังสินค้าและอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยสนับสนุนความแข็งแรง และโดดเด่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการที่มีทรัพย์สินในทำเลศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ความมั่นคงทางรายได้จากสัญญาเช่าระยะยาว เนื่องจากคลังสินค้าที่ WHART ลงทุนส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit อีกทั้งผู้เช่าพื้นที่ในทรัพย์สินของกองทรัสต์เป็นผู้เช่าชั้นนำในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต ซึ่งความแข็งแกร่งเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นจากประวัติการจ่ายผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ และทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ทั้ง 3 โครงการจะมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งเดิมให้กับกองทรัสต์ WHART โดยประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนอ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ประมาณ 0.80 บาทต่อหน่วยภายหลังการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งนี้
ในการเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHART ครั้งนี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนไม่เกิน 385,898,000 หน่วย โดยจะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์ที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564 ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.1181 หน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติม
ทั้งนี้ คาดว่าการเสนอขายหน่วยทรัสต์ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยสำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อ สามารถจองซื้อระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย. 2564 ซึ่งผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อสามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรรเกินกว่าสิทธิ หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับการจัดสรรก็ได้ และจะทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสูงสุด 12.90 บาท/หน่วย และหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้แก่ผู้จองซื้อ และสำหรับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 16-19 พ.ย. 2564 โดยการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ K-My Invest หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา