นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Trigger Opportunity (SCB Global Trigger Opportunity : SCBGTO) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 29 กรกฎาคม 2564 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายทริกเกอร์ 7% ภายในระยะเวลา 7 เดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลก และต้องการลดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นด้วยการเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยไม่ต้องรอทริกเกอร์ครั้งเดียว
ทั้งนี้คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และแรงสนับสนุนจากมาตรการทางการเงินและการคลังที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2564 เป็นอย่างน้อย รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและปริมาณผู้ติดเชื้อที่เริ่มลดจำนวนลงจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริโภคภาคเอกชนทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยกองทุน SCBGTO นั้นเบื้องต้นจะลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก เนื่องจากตัวเลขดัชนี PMI ที่ปรับตัวสูงขึ้นแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ยังมี Market Efficiency ที่น้อยกว่าหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ ทั้งยังมีจำนวนหุ้นให้คัดเลือกจำนวนมาก เหมาะสำหรับการลงทุนแบบ Factor Investing โดยเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดเล็กในตลาดอื่นแล้วนับว่ามีสภาพคล่องที่สูงกว่า
“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก จะมี Seasonality Effect ในช่วงเดือนก.ย.- ธ.ค.ทำให้การลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ (ที่มา: Seasonal Analysis: U.S. landscape Jan 2000 – May 2021) อีกทั้งกองทุนยังเสริมกลยุทธ์การบริหารพอร์ตโดยใช้ Machine Learning ที่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในหลากหลายแง่มุม จึงช่วยให้การลงทุนในกองทุนนี้มีความยืดหยุ่นด้วยกรอบการลงทุนที่เปิดกว้างทั่วโลก เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น” นางนันท์มนัส กล่าว
กองทุน SCBGTO มีนโยบายลงทุนในตราสารและ/หรือหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยเบื้องต้นจะลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน อาทิเช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจ กลุ่มสินค้าบริโภค กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มการแพทย์ เป็นต้น โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Factor Investing โดยใช้ Machine Learning ในการเลือกปัจจัยที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เหนือตลาด ด้วยการคัดเลือกหลักทรัพย์รายตัวจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พร้อมทั้งพิจารณาและรวบรวมข้อมูลมากกว่า 200 ปัจจัยย่อย โดยให้คะแนนตามลักษณะของหลักทรัพย์รายตัวในแต่ละปัจจัย และพิจารณาปัจจัยการลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดด้วยการวิเคราะห์สภาพตลาด ปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยด้านเทคนิค เพื่อคาดการณ์ตลาดในอนาคต โดยทำการคัดเลือกและจัดสรรน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวตามคะแนนในแต่ละปัจจัยการลงทุน พอร์ตลงทุนประกอบไปด้วยหุ้นประมาณ 50 ตัว ที่ได้รับคะแนนสูงุสด โดยมีน้ำหนักรายตัวที่เท่ากัน (equal-weighted) ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Rate Risk) ทั้งจำนวน
สำหรับเงื่อนไขการทริกเกอร์แบ่งเป็น 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ในกรณีที่หาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.35 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเพียงครั้งเดียวนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวม และครั้งที่ 2 ในกรณีเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุน โดยหาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.72 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.70 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และจะชำระเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับแต่วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยบริษัทจัดการขอสงวนสิทธินำเงินไปลงทุนต่อยังกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการ
อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลา 7 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวมแล้ว ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการกำหนด จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขการเลิกกองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้