นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ของบริษัทฯ ซึ่งมีผลประกอบการเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยผลประกอบการสำหรับปี 2563 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 14,725 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 10.3 เป็นผลมาจากกลยุทธ์การกำหนดสัดส่วนผลิตภัณฑ์ระหว่างการประกันภัยรถยนต์และการประกันภัยทั่วไปอย่างเหมาะสม มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับ ที่มีการเติบโตกว่าร้อยละ 13.8 นอกจากนี้มีงานประกันภัยสุขภาพที่ขยายตัวสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งการประกันอัคคีภัยและประกันภัยทรัพย์สินที่ยังเติบโตได้ดีแม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทฯ เน้นนโยบายการรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างดีที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดที่บริษัทฯ มีการเติบโตในสภาวะเช่นนี้ได้นั้น เกิดจากการบริหารจัดการที่ดีสามารถเตรียมความพร้อมรับมือในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี รวมไปถึงการบริหารจัดการด้านประกันภัยต่อ และที่ขาดไม่ได้คือการปรับตัวอย่างรวดเร็วและความร่วมมือของพนักงานเมืองไทยประกันภัยทุกคน
ทั้งนี้ เบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้สำหรับปีนี้มีจำนวน 7,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 656 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.50 นอกจากนี้ รายได้ค่าจ้างและบำเหน็จก็ยังเพิ่มขึ้น 282.8 ล้านบาท สืบเนื่องมาจากการเอาประกันภัยต่อที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนกำไรและรายได้จากการลงทุนมีจำนวนสูงถึง 375 ล้านบาท ในด้านกำไรสุทธิสำหรับปีของบริษัทมีจำนวน 590.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลกำไรสุทธิของปีก่อนจำนวน 165 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.8 เป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนในการขายและการดำเนินงานให้เหมาะสมและสมดุลกับรายได้ที่เกิดขึ้น
นางนวลพรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2563 ที่ผ่านมานั้นต้องยอมรับว่าเป็นความยากลำบากในการใช้ชีวิต และการทำงานของทุกภาคส่วน แต่นับเป็นข้อดีที่ทำให้เราทุกคนต้องใช้สติในการดำเนินชีวิตทุกด้าน เมืองไทยประกันภัยได้ใช้โอกาสในห้วงแห่งความยากลำบากนี้บริหารจัดการภายในบริษัทฯ ในทุกๆ ด้านให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพราะหากหยุดนิ่งจะเท่ากับถอยหลังในทันที นี่คือสิ่งที่ย้ำกับผู้บริหารและพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ได้รู้จักและซาบซึ้งกับคำว่า “กำไรทางใจ” เพราะนอกจากจะต้องบริหารงานให้ได้กำไรเพื่อตอบแทนผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ยังได้กำไรทางใจจากการช่วยเหลือสังคมในหลายๆ โครงการอีกด้วย”