สุดท้ายกับกองทุน LTF ใครที่ยังไม่ได้ลงทุนยังพอมีเวลา อย่ารีรอตัดสินใจ
เสียเวลา เสียโอกาส อาจเสียใจภายหลัง ใครรักจะลงทุนหุ้นไทยห้ามพลาด LTF เด็ดขาด!..
ทำไมถึงห้ามพลาด คุณวิโรจน์ ตั้งเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน พัฒนาธุรกิจและการตลาด บลจ.กรุงไทย บอกว่า ที่ห้ามพลาดเพราะ 1. เป็นปีสุดท้ายของกองทุน LTF และ 2. จังหวะการลงทุนเหมาะสม
อย่างที่บอก…ปีสุดท้ายไม่มีให้เห็นอีกแน่ เพราะกระทรวงการคลังส่งสัญญาณออกมาชัดเจนแล้วว่า อย่างน้อย 2 เรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ วงเงินหักลดหย่อน และระยะเวลาการถือครองที่อาจนาน 10-15 ปี
ส่วนจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมนั้น คุณวิโรจน์บอกว่า สภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้าเราดูย้อนหลังไปตั้งแต่จัดตั้งกอง LTF ปี 2542 จะเห็นได้ว่ามีวิกฤตเกิดขึ้นมาตั้งมากมายทั้งในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง แต่หากเรามองว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีการลงทุนต่อเนื่องทุกปีอย่างสม่ำเสมอ สถิติที่ผ่านมา 10 ปีจะพบได้ว่ามีโอกาสที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากได้ อีกทั้งยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย
"หุ้นที่ตกมาแถว 1,600 จุด อาจเป็นหนึ่งในโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนต้องมองข้ามความผันผวนระยะสั้นให้ได้ ซึ่งอีก 7 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีอีกหลายเรื่องราวที่เป็นจุดขาย ไม่ว่าจะเป็นโครงการ EEC ที่น่าจะเสร็จเต็มรูปแบบในอีก 5 ปีข้างหน้า โครงการเชื่อมโครงข่ายการคมนาคมของไทยน่าจะสำเร็จหมดแล้ว และที่แน่ๆ ในอีก 2 ปีข้างหน้าระบบรางของกรุงเทพฯ น่าจะติด 1 ใน 10 ของโลก การที่เราจะเป็นฮับและเป็นเมืองเอกของนักท่องเที่ยวโลกจะเป็นจุดขายของไทย เหมือนการสร้างพื้นฐาน ถ้าเราจะสร้างบ้านหรือตึกสักหลังช่วงนี้เป็นช่วงของการสร้างรากฐาน หากฐานรากมั่นคง ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาในอนาคต เปรียบเหมือนการลงทุนในช่วงที่หุ้นต่ำลง นักลงทุนจะสามารถลงทุนในหุ้นที่ราคาไม่สูงมากนักเพื่อสร้างผลกำไรในการลงทุนระยะยาวได้"
แนะนำว่า นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือการลงทุนตามหลัก dollar cost average (DCA) ในการเฉลี่ยต้นทุน กล่าวคือ หุ้นตกอย่าหยุดลงทุน ให้รู้จักทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ส่วนจะเลือกลงทุนกองไหนดี บลจ.กรุงไทยมี RARE ไอเท็มเป็นคำตอบ บอกได้เลยว่า ของมันต้องมี...
กองทุน LTF-RMF ที่ต้องมีติดพอร์ต ประเดิมกองแรกกับ กองทุนเปิดกรุงไทย สมาร์ท หุ้นระยะยาว KTAM KTEF- LTF
ข้อดีของกองทุนนี้คือเป็นกองทุน LTF ที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอตอบโจทย์แก่นักลงทุนที่ต้องการความอุ่นใจและกระแสเงินสดระหว่างทางตลอดระยะเวลา 7 ปี โดยกองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ความสามารถในการทำกำไรสูง ซึ่งกองทุนนี้จะมีจุดเด่นคือ สามารถจ่ายปันผลทั้งจากตัวหุ้นที่ลงทุนและกำไรจากการลงทุนในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกมา
ที่ผ่านมากองทุนนี้จ่ายปันผลไปแล้ว 17 ครั้ง รวม 6.05 บาท ส่วนปีนี้จ่ายปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง ประมาณ 0.70 บาท
เลือกกอง LTF ที่จะลงทุนได้แล้ว หันมาดูฟาก RMF ที่เหมาะกับการลงทุนช่วงดอกเบี้ยต่ำ หุ้นผันผวน กันบ้าง คงหนีไม่พ้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุน KT-PIF RMF จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้
กองทุนดังกล่าวจะกระจายการลงทุนในกองรีทและกองอินฟราฟันด์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 5-7% ต่อปี และจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะคัดเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อผู้บริโภค และความสามารถในการหารายได้ของสินทรัพย์ที่ลงทุน ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
กองทุนนี้แนะนำเลยว่านักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน RMF อยู่แล้วสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ แต่ถ้าเม็ดเงินใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนอสังหาฯ กองนี้แจ่มว้าวแน่นอน เพราะผลการดำเนินงานที่ผ่านมาตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 12.60% ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 21.20% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 15.97% และย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 8.92%
เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำแล้วอาจเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ฉะนั้นนักลงทุนควรแบ่งพอร์ตบางส่วนมาลงทุนในกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน รับรองไม่ผิดหวัง
สุดท้ายแต่รับรองเด่นไม่แพ้ 2 กองทุนแรก เพราะเป็นเทรนด์การลงทุนที่น่าจับตามองเพราะเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีบนพื้นฐานความยั่งยืน sustainable หรือการลงทุนแบบ ESG ที่มีหลักในการลงทุนที่พิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลร่วมกัน ซึ่งเป็นที่มาของ บลจ.กรุงไทยในการเสริมทัพด้วย กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-ESGRMF) ที่เน้นลงทุนหุ้นที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล ที่ได้รับการคัดเลือกจากดัชนี ESG ไทยพัฒน์ โดยจะมีหุ้นที่ผ่านเกณฑ์การลงทุนอยู่ประมาณ 58 ตัว ซึ่งจะมีการคัดกรองสภาพคล่องและจัดทำกลยุทธ์แบบ equal weighted index และให้ทาง S&P Dow Jones indices เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ให้นักลงทุนทราบ
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้คือ 1. มีความยั่งยืน 2. มีผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นทั่วไป และ 3. มีส่วนช่วยสังคม ซึ่ง
หุ้นที่สามารถสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมทั้ง 3 ด้านได้นั้นถือเป็นหุ้นที่มั่นคงเพราะจะมีต้นทุนสูง ฉะนั้นย่อมมีความสามารถในการสร้างโอกาสทำกำไรที่อาจสูง และสามารถเติบโตแบบยั่งยืนได้ นอกจากนี้ จากสถิติที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มนี้มักจะมีความต้านทานในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี บวกกับผลการดำเนินงานย้อนหลังหุ้นกลุ่มนี้แล้วพบว่ามีผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนหุ้นทั่วไป โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 7.90% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.85% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 10.22%
ขณะที่ผลตอบแทนรวมย้อนหลังของตลาดหลักทรัพย์ (SET TR) 3 ปีอยู่ที่ 6.66% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.57% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 8.65%
3 กองทุนที่กล่าวมานับเป็น RARE ไอเท็มที่นักลงทุนควรมี เพราะเชื่อว่าสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนแน่นอน
ไม่ต้อง แลไปขอเงินม่าย...หรือไลน์ไปขอเงินแม่อีกต่อไป