xs
xsm
sm
md
lg

การลงทุนแบบ Smart Beta

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โดย ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

ในโลกของการลงทุนนั้น เราสามารถแบ่งวิธีการลงทุนหลักๆ ได้ 2 วิธี ได้แก่ 1.การลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Portfolio Management) ซึ่งต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตัวเทียบวัดให้มากที่สุด และ 2. การลงทุนแบบเชิงรุก (Active Portfolio Management) ซึ่งต้องการสร้างผลตอบแทนให้ได้มากกว่าผลตอบแทนของตัวเทียบวัด(Benchmark) เช่น SET Total Return Index ในอดีตผลตอบแทนส่วนที่เกินมาจากผลตอบแทนของตัวเทียบวัดหรือ alpha ถูกมองว่าเกิดจากทักษะหรือความสามารถของผู้จัดการกองทุน แต่ความเป็นจริงแล้ว alpha บางส่วนนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในพอร์ต เช่น การลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Size) การลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Value) การลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมา (Momentum) และการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีคุณภาพของสถานะทางการเงินที่ดี (Quality)เป็นต้น โดยการเข้าใจในต้นกำเนิดของ alpha นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนแบบ Factor Investing

การลงทุนแบบ Factor Investing หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Smart Beta เป็นการออกแบบพอร์ตให้มี exposures กับปัจจัยต่างๆ ตามที่ต้องการ เช่น พอร์ตในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Value) จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานซึ่งอาจวัดจากปัจจัยบางตัว เช่น ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (price to book) และอัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (price to earning) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ในการเลือกหุ้นและการให้น้ำหนักในการลงทุนที่แน่นอน (Rules-based Investment) เพราะฉะนั้นการลงทุนใน Smart Beta จึงคล้ายกับการลงทุนแบบเชิงรุกในแง่ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้ได้มากกว่าผลตอบแทนของตัวเทียบวัดในระยะยาว แต่จะคล้ายกับการลงทุนแบบเชิงรับที่ไม่ต้องใช้การตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะเป็นผลให้ค่าธรรมเนียมในการจัดกการกองทุนของ Smart Beta นั้นถูกกว่าค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนแบบเชิงรุก

สิ่งที่ต้องคำนึงในการลงทุนแบบ Factor Investing หรือ Smart Beta นั่นคือ ปัจจัยต่างๆ จะสร้างผลตอบแทนที่ต่างกัน ในช่วงเวลาต่างๆ ตามสภาวะเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะหดตัว การลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีคุณภาพของสถานะทางการเงินที่ดี (Quality) มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของตัวเทียบวัด แต่เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะขยายตัว การลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Value) มีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของตัวเทียบวัด เป็นต้น

คำถามที่พบบ่อยสำหรับการลงทุนใน Smart Beta คือ เราจะนำ Smart Beta มาใช้อย่างไร? อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าปัจจัยต่างๆ จะสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่สามารถคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจได้ กลยุทธ์ที่เหมาะสมอาจเป็นการสับเปลี่ยนการลงทุนในกองทุน Smart Beta ตามปัจจัยต่างๆ เช่น Value, Quality, Momentum และ Size ซึ่งจะมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นิยมกัน ได้แก่ Core-Satellite คือ การแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งมีการลงทุนในระยะยาวซึ่งเป็นส่วนของ Core ส่วนนี้อาจจะลงทุนในกองทุนแบบเชิงรับ เช่น SET Index Fund และส่วนที่ 2 เป็นส่วนของ Satellite ซึ่งในส่วนนี้นักลงทุนสามารถลงทุนในกองทุน Smart Beta ต่างๆ และสับเปลี่ยนกองทุน Smart Beta ไปเรื่อยๆ หรือจะเลือกลงทุนในกองทุน Smart Beta หลายกองทุนพร้อมกัน ซึ่งประโยชน์ของ Core-Satellite นี้จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถสร้างพอร์ตที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนเอง และยังช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตอีกด้วย

สำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก การลงทุนในกองทุน Smart Beta ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการลงทุนในกองทุน Smart Beta หลายกองทุนพร้อมกันในอัตราส่วนเท่าๆ กัน เช่น ลงทุนในกองทุน Value 25%, กองทุน Quality 25%, กองทุน Momentum 25% และ กองทุน Size 25% ซึ่งในระยะยาวการลงทุนแบบนี้ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตัวเทียบวัดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น