xs
xsm
sm
md
lg

SCBAM เบอร์ 1 AUM 1.5 ล้านล้าน ตั้งเป้าลูกค้าดิจิทัล 4 แสนราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บลจ.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล 4 แสนราย ขึ้นแท่น บลจ.ที่ได้รับความไว้ใจสูงสุด โชว์เบอร์หนึ่งกองทุนสินทรัพย์รวมทะลุ 1.5 ล้านล้านบาท ระบุดัชนีหุ้นไทยปีนี้อาจเห็น 2,000 จุด รับแนวโน้มบาทแข็ง เงินต่างชาติไหลกลับลงทุน พร้อมแนะปรับพอร์ต กระจายเสี่ยงรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินงานในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น บลจ.ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด โดยจะให้ความสำคัญต่อลูกค้าเป็นลำดับแรก ผ่านแนวทางการปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพทั้งการบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดี การบริการและพัฒนาประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าต่อ บลจ. รวมถึงการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกองทุนที่บริหารจัดการครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพผสานกับกระบวนการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการบริหารกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนภายใต้การบริหารที่ได้ Morningstar 4-5 ดาว กว่า 20 กองทุน ทั้งกองทุนไทยและต่างประเทศในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และผสม

บริษัทฯ ยังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัลด้วยการต่อยอดนำระบบ AI และ Machine Learning มาขยายการลงทุนไปทั่วโลก รวมถึงนำมาใช้กับการลงทุนใน FX, ตราสารหนี้ ตลอดจนนำมาใช้ในการจัดสรรสินทรัพย์ และการทำ Market Timing โดยปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ได้เริ่มนำระบบการประมวลภาษาธรรมชาติ หรือ Natural Language Processing (NLP) เข้ามาใช้ประมวลผลข้อมูลที่เป็นข้อความ (text data) จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อพิจารณาเลือกหุ้นที่จะลงทุนซึ่งมีความแม่นยำค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ ยังได้วางเป้าหมายให้ บลจ.ไทยพาณิชย์เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้วยการเร่งพัฒนา SCBAM Digital Platform เพื่อนำเสนอบริการและให้ข้อมูลข่าวสารความรู้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร ซึ่งการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลไม่ได้ทำเพียงเฉพาะช่องทาง SCB และ SCBAM เท่านั้น แต่รวมถึงตัวแทนขายต่างๆ ด้วยที่ บลจ.จับมือกับตัวแทนขายใหม่ๆ ที่เป็นออนไลน์แพลตฟอร์ม โดยคาดบรรลุเป้าหมายผู้ใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล 400,000 รายในปีนี้

ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ณ วันที่ 31 มกราคม 2562 รวม 1,502,695.16 ล้านบาท ยังคงเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 20.63 % ซึ่งกองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์มีการเติบโตมากที่สุดในกลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) โดยมี AUM ณ วันที่ 31 มกราคม 2562 สูงถึง 423,847.82 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 42.7% และยังครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องจากปี 2557 ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มี AUM ณ วันที่ 31 มกราคม 2562 อยู่ที่ 116,487.37 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) มี AUM ณ วันที่ 31 มกราคม 2562 อยู่ที่ 962,359.97 ล้านบาท ซึ่งรวมกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน Infrastructure Fund มูลค่ารวม 146,070 ล้านบาท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 20,250 ล้านบาท

**หุ้นไทยขาขึ้น บาทแข็งรับเงินไหลเข้า**
นายณรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า แนวโน้มหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้าคาดการณ์เป็นขาขึ้น หรือดัชนีปรับตัวจากระดับปัจุบันประมาณ 10% โดยบริษัทคงเป้าดัชนีปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 2,000 จุด PE ที่ 18 เท่า ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับอานิสงส์จากเงินไหลเข้า จากแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า อีกทั้งได้รับปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้งในประเทศที่ผ่านไปด้วยดี การลงทุนภาครัฐมีความต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาจะทำให้เกิดการใช้จ่าย

"ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ราคาไม่ถูก และไม่แพง โดยมี PE ประมาณ 16 เท่า มีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าปรับตัวลง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมน่าลงทุน ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มขนส่งและท่องเที่ยว กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมแนะนำการลงทุนที่คุ้มค่าความเสี่ยงหรือสร้างผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก 1-1.5% หรือมีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 2-2.5%" นายณรงค์ศักดิ์กล่าว

ด้านนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ มองภาพรวมการลงทุนปี 2562 ว่าตลาดจะมีความผันผวนลักษณะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ตลาดหุ้นทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ต่างก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นไทยบวก 5% หุ้นโลกบวกกว่า 10% แตกต่างกันกับช่วงปลายปีที่แล้วที่เกือบทุกตลาดติดลบ จะมีแค่คนที่ถือเงินสดกับทองคำที่เป็นบวก สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกจากปรับตัวลง 10% กว่าในปลายปี 2561 มาเป็นบวก 10% กว่าในปี 2562 นี้เป็นเพราะประเด็นความเสี่ยงที่ตลาดเคยกังวลว่าอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักลงมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ที่ดูผ่อนปรนมากขึ้นจากการใช้นโยบายการเงิน และในการประชุมครั้งล่าสุดเริ่มมีการพูดถึงการหยุดลดขนาด Balance Sheet ไม่เพียงแต่ทาง Fed ยังมีธนาคารกลางยุโรปด้วยที่เริ่มมีการพูดถึงโอกาสที่จะทำโปรแกรมอัดฉีดเงินอีก (LTRO) รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ดูใกล้จะหาข้อตกลงกันได้

สำหรับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ตลาดส่วนใหญ่กลับมาที่จุดระดับค่าเฉลี่ยไม่ได้ถูกไม่ได้แพงจนเกินไป จะมีเพียงตลาดจีน และไทยที่เห็นว่ามีความน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE 15.5 เท่า และจีนเองก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ในขณะที่ไทยจะมีความชัดเจนจากการเลือกตั้ง

นักลงทุนที่จัดพอร์ตเองอยู่แล้ว บลจ.ไทยพาณิชย์แนะนำควรวางกลยุทธ์การลงทุนด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายของผู้ลงทุน และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าสินทรัพย์ประเภทใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องไปตลอด ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และการให้ความสำคัญต่อการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่เน้นหนักสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงยาว

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะสั้นได้ เช่น ในกรณีที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น นักลงทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น หรือในทางกลับกัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินสดเพิ่มขึ้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น