xs
xsm
sm
md
lg

เลือกตั้งกลางเทอม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด

ผ่านไปแล้วกับการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นักลงทุนหลายรายมองว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะช่วยคลายความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ของนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้สร้างผลกระทบไม่น้อยต่อผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา แล้วผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการเมืองสหรัฐฯ บ้าง? และตลาดหุ้นจะมีผลตอบรับอย่างไรบ้างในระยะต่อไปจากนี้?

ในช่วงเวลาหนึ่งถึงสองเดือนก่อนเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ครั้งนี้ ความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัย โดย CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงสามสิบวันข้างหน้า ได้ปรับตัวขึ้นจากระดับ 12.9 ณ สิ้นเดือนสิงหาคม สู่ระดับ 21.2 ณ สิ้นเดือนตุลาคม โดยปัจจัยที่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นมีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน จนถึงสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ จบด้วยการที่พรรค Democrat ได้เสียงข้างมากในสภาล่างแทนพรรค Republican ที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้คว้าเสียงข้างมากในวุฒิสภามาจากทาง Democrat โดยผลที่ออกมานั้นถือว่าตรงกับผล Poll ส่วนใหญ่ที่ได้ทำไว้ก่อนการเลือกตั้ง การที่พรรค Democrat สามารถเก็บเสียงข้างมากในสภาล่างนั้นมีโอกาสสูงที่อาจจะส่งผลให้การผ่านนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดี Donald Trump ทำได้ยากขึ้น หนึ่งในประเด็นหลักที่นักวิเคราะห์หลายรายกังวลว่าอาจจะเกิดคืออุปสรรคในการผ่านนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าทั้งสมาชิกพรรค Democrat และ Republican ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ นั้นถึงเวลาแล้วสำหรับการปรับปรุง แต่ฝั่ง Democrat มองว่าเงินทุนที่จะใช้สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ควรมาจากการเพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประชาชนที่มีรายได้สูง หรือการเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งขัดกับนโยบายของพรรค Republican ที่ได้ลดอัตราภาษี ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้คอยหนุนการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาด้วย โดยแน่นอนว่าประเด็นนี้จะเป็นปัจจัยลบที่คอยสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้คงไม่ได้มีผลต่อท่าทีหรือนโยบายของสหรัฐฯ ต่อสงครามทางการค้ากับจีนที่กำลังร้อนระอุอยู่ ณ ปัจจุบัน เนื่องจากว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นคงอำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารที่ทำให้สามารถกำหนดนโยบายด้านนี้ได้เพียงลำพัง ดังนั้น การที่พรรค Democrat ได้คว้าเสียงข้างมากในสภาล่างมาอาจจะไม่ได้ทำให้ประเด็นเรื่องการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ คลี่คลายลงได้เลย สำหรับเหตุการณ์ต่อไปที่อาจจะพอบ่งชี้แนวโน้มของสงครามทางการค้าในครั้งนี้ได้คงจะเป็นการประชุม G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินาในวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากผู้นำของทั้งสองประเทศมีแผนที่จะมีการพบปะกันเพื่อหาข้อสรุปต่อประเด็นเรื่องการค้านี้ ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศบนโลก

ในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าจะมีความผันผวนอยู่ไม่น้อยในระยะสั้น ถึงแม้การเลือกตั้งกลางเทอมจะผ่านไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม คงจะต้องจับตาดูกันว่าสมาชิกพรรค Democrat และ Republican จะสามารถประนีประนอมและหาข้อสรุปต่อประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันเพื่อที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้หรือไม่ นอกจากนี้แล้วปัจจัยต่างๆ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ภาษี หรือการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงเป็นปัจจัยที่คอยสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้นอย่างแน่นอน

ปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากนโยบายของทางการสหรัฐฯ แน่นอนว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ประเด็นที่ควรจะจับตามองมากที่สุด ณ ตอนนี้คือสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่อาจจะได้ข้อสรุปในการประชุม G20 สิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ในขณะที่นโยบายอื่นๆ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือมาตรการภาษี ที่ดูเผินๆ อาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชากรสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมาตรการพวกนี้ ซึ่งเป็นนโยบายที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะกลางถึงยาว อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจในการปรับขึ้นอัตตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในระยะข้างหน้าด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นของ Fed นั้นจะมีผลต่อมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกและสามารถสร้างความผันผวนต่อตลาดทุนทั่วโลกได้อย่างไม่น้อยเช่นกัน โดยตลาดหุ้นไทยก็คงหนีไม่พ้นผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของ SET Index ในระยะสั้นต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น