บลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล ชี้จังหวะดีลงทุนหุ้นเวียดนาม หลังช่วงที่ผ่านมาปรับลงต่ำกว่า 900 จุด มั่นใจปัจจัยหนุนดี เศรษฐกิจโตระดับ 7% ชู CIMB-PRINCIPAL VNEQ น่าลงทุน เน้นเลือกหุ้นรายตัวและให้น้ำหนักหุ้นขนาดกลางที่เติบโตดีจากเศรษฐกิจ
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นเวียดนามได้ปรับตัวลดลงมามากถึง 900 จุด ทำให้เป็นจังหวะเหมาะที่นักลงทุนเข้าลงทุนเพิ่มในหุ้นดังกล่าว นอกจากนักลงทุนได้ราคาที่ต่ำแล้วโอกาสต่อยอดในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวมีค่อนข้างมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับปัจจัยบวกภายในประเทศเวียดนามที่มีอยู่หลายปัจจัยที่เข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นเวียดนามให้เติบโตขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบมีอยู่สองเรื่องที่มีความกังวลอยู่บ้าง คือ เรื่องของค่าเงิน และการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะที่เริ่มสูงขึ้น
“ตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับตัวลงแรง โดยดัชนี VN30 ปรับลงจากจุดสูงสุดที่ 1,185 ลงไปต่ำกว่า 900 จุด คิดเป็นผลตอบแทน -24% ก่อนจะเด้งกลับมาที่ระดับ 970 จุด แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักหุ้นเวียดนาม โดยกองทุน CIMB-PRINCIPAL VNEQ เน้นเลือกหุ้นรายตัวและให้น้ำหนักหุ้นขนาดกลางที่เติบโตดีจากเศรษฐกิจในประเทศ มีระดับ P/E เพียง 13 เท่า (เทียบกับ P/E ตลาดที่ 18 เท่า) แต่มีอัตราการเติบโตของกำไรเกือบ 20%” นายวินกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกองทุน CIMB-PRINCIPAL VNEQ หลังจากนี้จะเน้นกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ลงทุน คือ หุ้นกลุ่มแบงก์ กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ พร้อมให้น้ำหนักหุ้นขนาดกลางมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง จากก่อนหน้านี้กองทุนเน้นหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก ปัจจุบันกองทุน CIMB-PRINCIPAL VNEQ มีมูลค่าประมาณ 2,900 ล้านบาท เสนอขายครั้งแรกเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา NAV ขณะนี้ปรับลงมาอยู่ที่ 10 บาท ผลตอบแทนปีปัจจุบัน(YTD) อยู่ที่ -8%
นายวินกล่าวอีกว่า มุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม โดยเศรษฐกิจเวียดนามครึ่งปีแรกโต 7.08% และคาดว่าจะโต 6.5% ต่อปีในช่วง 2561-2565 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในอาเซียน ขับเคลื่อนด้วย 4 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ 1. เงินลงทุนตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) โดยมียอดครึ่งปีแรกกว่า 6 แสนล้านบาท 2. การส่งออกซึ่งครึ่งปีแรกโต 16% โดยสินค้าส่งออกหลักคือ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ 3. การท่องเที่ยว โดย 7 เดือนแรกมียอดนักท่องเที่ยว 9 ล้านคน โต 25% จากปีก่อน และ 4. การบริโภคในประเทศ จากคนหนุ่มสาวที่มีรายได้และกำลังซื้อมากขึ้น