ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
เศรษฐกิจโลกในปีนี้น่าจะยังคงขยายตัวได้ดี แต่สัญญาณต่างๆ เริ่มชี้ให้เห็นว่าน่าจะผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวม (Composite PMI) ที่ยังขยายตัวอยู่ในระดับสูงแต่ชะลอตัวลง, อัตราเงินเฟ้อและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางโดยรวมที่จะเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงตัวในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากจากการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4 ในปีที่แล้ว และคาดว่า จะนำไปสู่การสิ้นสุดการเข้าซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลางยุโรปในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งจะทำให้เหลือเพียงธนาคารกลางญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอยู่
จากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับ 3% และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งค่าขึ้น จากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในปีนี้ ที่คาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยรวม 3 ครั้ง ส่งผลให้เกิดการไหลออกของ Fund Flow ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ และความผันผวนที่มากขึ้นทั้งในตลาดตราสารหนี้ และตราสารทุน
ในแง่ของการลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง เรามองว่าความผันผวนของตลาดทุนจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าในปีที่แล้ว ดังนั้น ควรจะมีการกระจายการลงทุนที่ดี ซึ่งพอร์ตลงทุนนั้นอาจประกอบด้วยตราสารหนี้, ตราสารทุน และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น REITs, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่ดียิ่งขึ้นเราควรจะพิจารณาถึงรายละเอียดในระดับสินทรัพย์ด้วย เช่น น้ำหนักการลงทุนในระดับประเทศและหมวดอุตสาหกรรม สำหรับตราสารทุน อายุตราสารเฉลี่ย และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน, อันดับความน่าเชือถือ และสัดส่วนการลงทุนของตราสารที่ลงทุน (ในประเทศ, นอกประเทศ, ภาครัฐ, ภาคเอกชน) สำหรับตราสารหนี้
ในช่วงที่เหลือของปี เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตราสารทุน จากเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้ดี โดยเฉพาะทางฝั่งของสหรัฐฯ ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายทางภาษี ทำให้โดยภาพรวมนั้นตราสารทุนยังมีความน่าสนใจอยู่ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาดตราสารทุนจะมีความผันผวนมากขึ้น เมื่อเทียบกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยจะต้องติดตามปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างใกล้ชิด เช่น Fund Flow, อัตราการเปลี่ยนแปลงของคาดการณ์ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (ทั้งของตลาดที่ลงทุนอยู่หรือกำลังจะลงทุน และของสหรัฐฯ)
ด้านการลงทุนในตราสารหนี้ ช่วงที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ราคาพันธบัตรปรับตัวลดต่ำลง) ตามแนวโน้มของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารประเทศต่างๆ ซึ่งนำโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้ผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา อาจจะไม่ค่อยดี ในช่วงครึ่งปีหลังเรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก อย่างไรก็ดี เราคิดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปัจจุบันน่าจะสะท้อนถึงมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งที่เหลือในปีนี้ไปแล้ว สำหรับปัจจัยที่จะต้องจับตามอง ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและ Fund Flow
ส่วนของสินทรัพย์ทางเลือก เช่น REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาโดนกดดันอย่างหนักจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ราคาและอัตราเงินปันผลปรับตัวมาอยู่ในระดับที่มีความน่าสนใจมากขึ้น ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวัฏจักรเศรษฐกิจ (อุปสงค์ต่อสินทรัพย์)
โดยสรุปการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมนั้น จะทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลดลง สำหรับผู้ลงทุนที่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา, เงินลงทุน หรือข้อจำกัดอื่น ผู้ลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบผสม (Multi Asset Funds) ทั้งนี้ การลงทุนทุกประเภทนั้นผู้ลงทุนควรเข้าใจถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่จะลงทุน และควรลงทุนในกรอบความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้