xs
xsm
sm
md
lg

เฮลท์แคร์รีเทิร์น ธนชาตแนะลงทุนเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.ธนชาตเชื่อจังหวะดีลงทุนเฮลท์แคร์เพิ่มหลังผลงานดีทำกำไรมากกว่าทุกอุตสาหกรรม ด้านผู้จัดการกองทุนหลัก janus มั่นใจเหมาะลงทุนยาว เหตุสังคมสูงวัยมาแรง ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่ม

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ต่างมีความผันผวนมากขึ้น คาดว่ามาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัวลง ความกังวลต่อสงครามการค้า และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะแม้ระยะนี้อาจต้องเผชิญกับความผันผวนดังกล่าว แต่อัตราผลตอบแทนจากหุ้นโดยรวมน่าจะยังเป็นบวกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าการลงทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์สามารถตอบโจทย์การลงทุนในภาวะนี้ได้ดี

“กองทุน T-Healthcare ของ บลจ.ธนชาต ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ระดับราคาปัจจุบันปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 20% และผลตอบแทนกองทุนหลัก Janus Global Life Science Fund ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี นับแต่จัดตั้งเมื่อมีนาคม ปี 2000 และยังเหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งกองทุนนี้มีจุดเด่นคือ นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง แยกตามรายอุตสาหกรรมย่อย ซึ่งทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งทีมผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจ เพราะมีเรื่องราวนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นแรงกระตุ้นการเติบโตได้สม่ำเสมอ และที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง

อีกทั้งในช่วงต้นปีนี้ผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาล่าสุดก็พบว่าผลกำไรต่อหุ้นดีกว่าที่ตลาดคาดเกือบทุกบริษัท อีกทั้งเหนือกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ และตลาดโดยรวม สะท้อนให้เห็นความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ และเหมาะจะทยอยสะสมในระยะนี้”

ด้านผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ Janus ที่เป็นกองทุนหลักให้มุมมองว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ยังคงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในระยะยาวจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. นวัตกรรมยารักษาโรคที่ถูกคิดค้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รักษาโรคที่เคยรักษาไม่หายได้ และมีแนวโน้มที่ยาจะได้รับสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมาก
2. แนวโน้มลักษณะประชากรโลกที่เปลี่ยนไป หลายประเทศทั่วโลกเริ่มเข้าใกล้สังคมผู้สูงอายุซึ่งมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น และมีสถิติที่น่าสนใจ คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัวสูงกว่าคนที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี ทำให้เชื่อได้ว่าเมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุจะทำให้ค่าใช้จ่ายสุขภาพมีการเติบโตที่สูงมาก นอกจากนั้นยังพบว่าพฤติกรรมของประชากรที่มีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ยิ่งตอกย้ำว่าในอนาคตค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีการเติบโตที่สูงมาก
3. กระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้แต่ละประเทศทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในแต่ละประเทศขยายตัวอย่างทัดเทียมกัน ซึ่งผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าหาก GDP แต่ละประเทศขยายตัวมากขึ้น จะทำให้การใช้จ่ายด้านสุขภาพเติบโตตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาพบว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเชื่อมโยงกับการเติบโตของ GDP ในแต่ละประเทศ ยิ่งประเทศที่มี GDP สูง ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพก็จะสูงตามไปด้วย

ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศจาก Janus ให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า แม้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์จะผันผวนมาก ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ แต่อันที่จริงความผันผวนดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านการเมือง ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเด็นนโยบายการเมืองเริ่มคลี่คลายและกฎหมายไม่เปลี่ยนแปลงมากจนทำให้ตลาดกังวล ประกอบกับมีการส่งเสริมการออกสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นจึงยิ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทที่มีนวัตกรรมการค้นคว้าใหม่ๆ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นที่ราคาหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีการปรับตัวดีขึ้นมากช่วงปลายปี 2016

ผู้จัดการกองทุนของ Janus กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นต่ำกว่าตลาดโดยรวมหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ประกอบกับกองทุนนี้ผู้จัดการกองทุนจะเน้นคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจที่มีโอกาสและศักยภาพสูง และปรับพอร์ตอยู่อย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น