บลจ.แอสเซทพลัส เปิดกองใหม่ลุยลงทุน 3 กลุ่มธุรกิจโดดเด่น แนวโน้มเป็นผู้นำเทรนโลก หวังสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุนในระยะยาว ชูกลุ่มดิจิตอล ไลฟ์สไตล์ และพลังงานแห่งอนาคต เกาะกระแสเทคโนโลยีมาแรง มั่นใจบริษัทที่โมเดลธุรกิจใหม่จะเป็นก้าวขึ้นมาครองความสำเร็จได้ แถมราคาหุ้นยังเติบโตแบบก้าวกระโดด
นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิสรัปทีฟ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ (ASP-DISRUPT) ซึ่งเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยที่เน้นการลงทุนในธีมดิสรัปทีฟ กำหนดเสนอขายครั้งแรก 19-30 มีนาคม 2561 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่เป็นผู้แทรกแซงทางธุรกิจ (Disruptor) และหุ้นของบริษัทที่ได้รับประโยชน์จาก Disruptive Trend เพื่อแสวงหาโอกาสรับผลตอบแทนสูงในระยะยาวจากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจแบบก้าวกระโดด ครอบคลุม 3 กลุ่มธุรกิจหลักแห่งโอกาส ได้แก่ 1.กลุ่มเศรษฐกิจดิจิทัล 2.กลุ่มไลฟ์สไตล์ดิสรัปชั่น และ 3. กลุ่มคมนาคมขนส่งและพลังงานแห่งอนาคต
ทั้งนี้ กองทุนจะผสมผสานทั้งการลงทุนตรงในหุ้นที่ผ่านการพิจารณาคัดสรรจากทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัทการลงทุนใน ETF ที่มีแนวทางการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากรูปแบบธุรกิจใหม่(New Business Model) เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และส่งผลกระทบต่อตลาดผลิตภัณฑ์เดิม และการกระจายการลงทุนไปในกองทุนรวมในต่างประเทศ ซึ่งในเบื้องต้นเฉพาะส่วนของการลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ คาดว่าจะลงทุนในกองทุน AXA WF Framlington Digital Economy I USD ภายใต้การบริหารจัดการของ AXA Investment Managers ซึ่งที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนตุลาคม 2560 ให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 15.04%
"จากกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วของระดับของนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั่วโลก ส่งผลสืบเนื่องให้ธุรกิจต่างๆ ล้วนต้องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนก่อให้เกิดกระแสทางธุรกิจที่เป็นปรากฏการณ์สำคัญคือกระแสการแทรกแซงทางธุรกิจเป็นที่ประจักษ์ว่า บริษัทที่มีโมเดลธุรกิจใหม่ และสามารถเข้ากับกระแสหลักของโลกล้วนก้าวขึ้นมาครองความสำเร็จแทนธุรกิจแบบเดิมๆ อีกทั้งหุ้นของกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำในการแทรกแซงธุรกิจ ยังมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถเป็นทางเลือกในการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนที่พร้อมรับความเสี่ยงสูงจากหุ้นและคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงในระยะยาวได้"นายรัชต์กล่าว
นายรัชต์ กล่าวอีกว่า ความโดดเด่นของกระแสดิสรัปทีฟใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่กองทุน ASP-DISRUPT มุ่งเน้นลงทุนในเบื้องต้นกองทุนจะเน้นน้ำหนักไปที่กลุ่มเศรษฐกิจดิจิทัล 50% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในกลุ่มคมนาคมขนส่งและพลังงานแห่งอนาคต 25% และกลุ่มไลฟ์สไตล์ดิสรัปชัน 25% โดย บลจ. แอสเซท พลัส มองเห็นโอกาสจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะมี Disruptor เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มของจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและมีการซื้อขายสินค้าผ่าน Digital Platform ทั่วโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่องนับจากปี คศ. 2016 -2021 รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกรรมแบบไร้เงินสดที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องซึ่งคาดกันว่าในปี คศ. 2023 สัดส่วนธุรกรรมการซื้อขายสินค้าแบบไม่ใช้เงินสด (Cashless Payment) จะเพิ่มขึ้นแซงหน้าการใช้เงินสดแบบเดิมๆ
นอกจากนี้ รายได้จากการให้บริการ Cloud Service ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบันมีการเติบโตเฉลี่ย 22.8% ต่อปี เช่นเดียวกันกับ Blockchain ที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในภาคการเงินการธนาคาร ด้านธุรกิจในกลุ่มคมนาคมขนส่งและพลังงานแห่งอนาคต ถือว่ากระแสดิสรัปทีฟยังคงเข้มข้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ว่าในปี คศ. 2030 ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมของรถยนต์ Hybrid และ รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด และปริมาณความต้องการแบตเตอรี่ไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะนับจากปี คศ. 2015 จนถึงปี คศ. 2030 จะเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 50 เท่าเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ถูกลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทผู้พัฒนายานยนต์ไฟฟ้าหรือพัฒนาคุณภาพการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็น Disruptor มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มไลฟ์สไตล์ดิสรัปชัน ถือว่ามีบริษัทที่เป็น Disruptor ที่น่าสนใจจำนวนมากและเกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันในทุกมิติ ทั้งธุรกิจด้านเอ็นเทอร์เทนเมนท์ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี Virtual Reality, บริษัทที่เป็นผู้นำด้านความบันเทิงทางอินเทอร์เน็ตและดิจิทัลแพลตฟอร์ม ธุรกิจด้านสุชภาพ อาทิ ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นการให้คำปรึกษาทางสุขภาพ การพัฒนายาแบบ Biosimilar การพัฒนา Smart Device และระบบการศึกษาผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม
"บริษัทเชื่อมั่นว่า การลงทุนกับกระแสดิสรัปทีฟจะเป็นอีกทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงในระยะยาวที่น่าพึงพอใจให้แก่ผู้ลงทุนได้ในอนาคต โดยเฉพาะช่วง IPO จะมีค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end fee) ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเพียง 1.25% จากปกติ 1.50%"นายรัชต์กล่าว