วนาลี ตรีสัมพันธ์
กองทุนบัวหลวง
มาทำความรู้จักกับ ‘PropTech’
หลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “FinTech” ซึ่งก็คือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในธุรกรรมด้านการเงิน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การจ่ายหรือโอนเงินผ่านสมาร์ทโฟน ในวงการอสังหาริมทรัพย์เองนั้นก็มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเชื่อมกับโลกของอสังหาฯ เช่นเดียวกัน เรียกว่า “PropTech” ซึ่งย่อมาจาก Property Technology ทำให้ปัจจุบันการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สะดวก รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนมากกว่าแต่ก่อน มีการสร้าง Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น รวมไปถึงเกิดธุรกิจใหม่อย่าง Home Sharing เป็นต้น
“PropTech 1.0” ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลซื้อขายง่ายขึ้น
“PropTech 1.0” เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางของยุค 80 หรือ 40 ปีหลังการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก ด้วยข้อจำกัดด้านการซื้อขายของตลาดอสังหาฯ ที่มีมากกว่าสินทรัพย์อื่น เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูง และสภาพคล่องต่ำ ก่อนจะตัดสินใจซื้อต้องเห็นสินทรัพย์จริงก่อน เพราะถึงแม้เป็นห้องชุดที่อยู่ในตึกเดียวกันก็ยังแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ขนาดห้อง แบบแปลนห้อง คุณภาพงานก่อสร้าง แม้กระทั่งสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวตึก
ในขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร จะมีความเป็นมาตรฐานมากกว่า ดังนั้น การเปิดรับเทคโนโลยีในช่วงแรกจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์เพียงเก็บและจัดเรียงข้อมูลสินค้าและธุรกรรมการซื้อขาย เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเท่านั้น
วิวัฒนาการของ PropTech พัฒนาอย่างก้าวกระโดดภายหลังปี 2000 ที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตแพร่หลายมากขึ้น เริ่มจากการสร้างออนไลน์ Portal ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ บนเว็บไซต์และสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ทำให้เก็บข้อมูลได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น และเรียกดูข้อมูลที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้
จากที่ต้องซื้อขายผ่านนายหน้าคนกลางหรือติดป้ายประกาศไว้ตามสถานที่ต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นการใส่ข้อมูลการซื้อขายที่ต้องการลงไปในเว็บไซต์แทน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการทำธุรกรรมได้มาก ทำให้เกิดสื่อออนไลน์ เช่น thinkofliving.com ddproperty.com propertyGuru.sg Propertyreview.sg เป็นต้น
‘PropTech’ ในไทย
ปัจจุบันเราอยู่ในยุค PropTech 2.0 ที่เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกไม่เพียงแค่การซื้อขาย แต่นวัตกรรมถูกนำมาสอดแทรกในรูปของงานบริการหลังการขาย รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัย เช่น ระบบ Home Automation คือ ระบบควบคุมอัตโนมัติภายในบ้านหรืออาคารผ่านระบบเซ็นเซอร์ เช่น การควบคุมแสงสว่าง การควบคุมอุณหภูมิ การควบคุมการเปิดปิดประตูหน้าต่าง
ระบบ Internet of Things เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมช่วยเรื่องการสื่อสารกับอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ ทั้งการสั่งงานอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ รดน้ำต้นไม้ หรือช่วยเตือนเมื่อของใช้ภายในบ้านหมด และสั่งซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้