ไทยประกันชีวิตมั่นใจช่องทางตัวแทนเหมาะขายสินค้าคุ้มครอง เผยตัวเลข 5 เดือนธุรกิจใหม่โต 5% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ติดลบ เหตุเศรษฐกิจยังไม่กระเตื้อง ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย คาดครึ่งปีหลังทรงตัวตามเศรษฐกิจ ระบุแบงก์ลดสาขาไม่กระทบ มั่นใจทำยอดได้ตามเป้า เหตุธนาคารต้องการรายได้มากขึ้นหลังยอดปล่อยสินเชื่อโตน้อย
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเติบโตของไทยประกันชีวิตยังมาจากช่องทางตัวแทนเป็นหลัก เพราะบริษัทเชื่อว่าสินค้าที่มีความซับซ้อนเช่นสินค้าคุ้มครองเหมาะสำหรับช่องทางนี้มากที่สุด โดยในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งอาจจะไม่หวือหวาเหมือนกับช่องทางธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการเติบโตของช่องทางธนาคารเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว
“ช่องทางแบงก์ที่ผ่านมาโตไปมาก แต่ตัวแทนยังเหมาะกับการขายสินค้าคุ้มครอง ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันจะมีการขายแบบประกันนี้ผ่านทางออนไลน์ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าตัวแทนน่าจะเหมาะกว่า เพราะอย่างน้อยเขาจะได้ดูแลได้ และญาติจะได้รู้ใครมีประกันอะไรบ้างเมื่อเสียชีวิต แต่บางทีการซื้อผ่านออนไลน์คนตายแล้วบางทียังไม่มีใครรู้หรือตรวจสอบได้ยากกว่า” นายไชยกล่าว
ด้าน ดร.อภิรักษ์ ไทพัฒนกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้การเติบโตติดลบหากเปรียบกับช่วงเดียวกันที่ผ่านมา แต่ในส่วนของบริษัทถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเนื่องจากมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันปีแรกประมาณ 5% และเบี้ยรับรวมในระดับเดียวกันที่ 5% ในขณะที่อัตราเบี้ยต่ออายุยังคงที่คืออยู่ที่ 84% และยังไม่มีสัญญาณการขาดอายุหรือยกเลิกสัญญาแต่อย่างใด
ส่วนแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทเชื่อว่าจะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันภาพรวมของตลาดยังคงชะลอตัวตามเศรษฐกิจ และผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจซื้อประกันชีวิตน้อยลงตามไปด้วย
ขณะที่แนวโน้มการปรับลดสาขาของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อช่องทางการขายของบริษัท เนื่องจากเชื่อว่าทางแบงก์ที่เป็นตัวแทนของบริษัทมีเป้าในการขายอยู่แล้ว และเป็นเรื่องปกติที่จะต้องการรายได้เข้ามาให้ได้มากที่สุด หลังจากการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ไม่สามารถขยายตัวได้ตามต้องการ
“ธรรมชาติของแบงก์เขาต้องการรายได้ให้มากที่่สุดอยู่แล้ว และเขาต้องมีเป้าว่าจะขายเท่าไร คงไม่มีใครอยากที่จะขายลดลง สำหรับโปรดักต์ที่เหมาะต่อเศรษฐกิจช่วงนี้ต้องแล้วแต่ลูกค้า ซึ่งถ้าลูกค้ามีเงินเหลือก็จะหันมาซื้อประกันเงินออมเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ส่วนลูกค้าที่ยังเป็นหนี้และต้องการคุ้มครองความเสี่ยงก็จะซื้อประกันสินเชื่อ หรือคุ้มครองอื่นๆ แต่โปรดักต์ของไทยประกันยังเป็นคุ้มครองอยู่” ดร.อภิรักษ์กล่าว