บลจ.ทิสโก้มอง Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดทุนไทยต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้ เหตุเพราะ SET Index ยังปรับตัวขึ้นไม่มากหากเทียบกับหุ้นโลก ด้าน บลจ.กสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้อยู่ในช่วงฟื้นตัวได้รับผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคภายในประเทศ
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในงานสัมมนา TISCO Monthly GURU Updates ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เคยอยู่ในภาวะ Overbought ได้เริ่มย่อตัวลงมา ส่วนตลาดหุ้นฝั่งยุโรปแม้จะปรับตัวขึ้นสวนกระแสการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นจาก Wealth Effect และยังมีความเสี่ยงสถานการณ์จากทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ดังนั้น ทิศทาง Fund Flow จึงยังไหลเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ Valuation ไม่แพงมาก
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 2.3% เทียบกับการปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลกที่อยู่ประมาณ 6% จึงนับว่า SET Index ยัง Laggard อยู่มาก จึงมีโอกาสที่ Fund Flow จะไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้ หลังจากที่ต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้ว 19,700 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังเดือน มี.ค.
“เราคาดต่างชาติยังคงเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท และหากดูสถิติย้อนหลัง 10 ปี ในเดือน เม.ย.มีโอกาสที่ SET Index จะ Sideway Up แต่จะมี Upside จำกัดที่ 1,600-1,605 จุด จากผลของการประกาศ XD ในเดือน เม.ย.-พ.ค. จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 1 จะออกมาดี โดยเราคาดว่ากำไรกลุ่ม Bank เติบโตขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และปัจจัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นกลุ่มโรงแรม” นายวิวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่า โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วประมาณ 3% จาก 35.8 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสิ้นปี 2016 เป็น 34.4 บาท/ดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาจากแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้า และแนะนำให้จับตาสัดส่วนการเปรียบเทียบผลตอบแทนของ S&P 500 กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี (Earning Yield Gap) หากช่องว่างของผลตอบแทนทั้งสองลดลงจนต่ำกว่า 2% อาจส่งผลให้เกิดการปรับฐานของตลาดหุ้นโลก
ด้านนางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้น ได้แก่ กองทุนเปิดรวงข้าวทวีผล 2 (RKF-HI2) ในอัตรา 0.31 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559-31 มีนาคม 2560 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 31 มีนาคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 12 เมษายน 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 20.69 ล้านบาท
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวจากการดำเนินนโยบายด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศ โดยคาดว่าในปี 2560 เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 3.0-3.6% ซึ่งแรงหนุนยังมาจากภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่ภาคการส่งออกทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศโดยเฉพาะจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงตลาดส่วนใหญ่ได้มีการรับรู้ไปในระดับหนึ่งว่า FED น่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ทำให้ผลกระทบในเรื่องกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก”
ส่วนปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะต้องรอติดตามความชัดเจนในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นคาดว่าผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยจะมีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มไปยังสหรัฐฯ และจีนรวมกันต่ำกว่า 10% โดยมุมมองในระยะสั้น บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนมุมมองในระยะกลางถึงยาวมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2560 อยู่ที่ระดับ 1,650 จุด โดยปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 1,690 จุด เนื่องจากเป็นการปรับตามตัวเลขประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในปีนี้ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อาจเห็นดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากกว่าที่คาดการณ์