ในปี 1998 บริษัทโกดักมีพนักงาน 170,000 คน และมียอดขายกระดาษอัดรูปถึง 85% จากทั่วโลก แต่ในอีกไม่กี่ปี โมเดลธุรกิจของโกดักไม่อาจเดินหน้าได้อีกต่อไป โกดักต้องตกเป็นบริษัทที่ล้มละลาย
สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับโกดัก กำลังจะเกิดแก่อุตสาหกรรมอีกมากมายภายในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่หลายคนยังมองไม่เห็นว่า มันกำลังมาถึงแล้ว
คุณเคยคิดหรือไม่ อีกสามปีถัดจากปี 1998 คุณสามารถถ่ายรูปโดยไม่ต้องใช้ฟิล์มอีกต่อไป
กล้องถ่ายรูปดิจิตอลประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี 1975 กล้องดิจิตอลรุ่นแรกๆ มีความคมชัดหรือให้รายละเอียดได้เพียง 10,000 พิกเซล แต่ภายหลังเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด กล้องดิจิตอลเริ่มมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ภาพคมชัดยิ่งขึ้น และใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น ในอีกแค่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) จะเกิดผลต่อยอดไปยังธุรกิจสุขภาพ รถยนต์ไร้คนขับ การศึกษา การพิมพ์ 3 มิติ การเกษตร และแรงงาน เป็นต้น
เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 แล้ว ซอฟต์แวร์ใหม่ๆ จะทำให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมเกิดความปั่นป่วน ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
“อูเบอร์” เป็นเพียงซอฟต์แวร์ อูเบอร์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ แต่อูเบอร์กลับเป็นบริษัทให้บริการแท็กซี่รายใหญ่ที่สุดในโลก
Airbnb เป็นผู้ให้บริการห้องพัก หรือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานี้ แม้ว่าบริษัทมิได้เป็นเจ้าของโรงแรมสักแห่งเลย
ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น และในปีนี้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเอาชนะผู้เล่นเกมโกะ (Go) ผู้เก่งกาจที่สุดในโลกไปได้แล้ว
ในสหรัฐฯ นักกฎหมายหนุ่มๆ จะหางานทำลำบากขึ้น เพราะว่าซอฟต์แวร์ “ไอบีเอ็ม วัตสัน” สามารถให้บริการคำปรึกษาทางกฎหมายพื้นฐานได้ภายในไม่กี่วินาที และมีความแม่นยำสูงถึง 90% เมื่อเทียบกับความแม่นยำของนักกฎหมายทั่วไป 70%
หากคุณคิดจะเรียนกฎหมายจงคิดให้หนัก ในอนาคตจะมีนักกฎหมายน้อยกว่าปัจจุบัน 90% มีเพียงผู้เชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้นที่จะรักษางานของตัวเองได้
ซอฟต์แวร์วัตสันยังช่วยแพทย์ให้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่านางพยาบาลที่เป็นคนถึง 4 เท่า
เฟซบุ๊กมีซอฟต์แวร์ช่วยจดจำ หรือระบุใบหน้าคน ได้ดีกว่าความสามารถของคน
ภายในปี 2030 คอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่ามนุษย์
ในปี 2018 รถยนต์ไร้คนขับจะเปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ภายในปี 2020 อุตสาหกรรมรถยนต์จะปั่นป่วนไปทั่ว เราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถยนต์อีกต่อไป เพียงใช้โทรศัพท์เรียกรถ รถก็จะปรากฏยังจุดที่คุณต้องการให้มารับ แล้วจะขับพาคุณไปยังที่หมายปลายทาง คุณไม่จำเป็นต้องขับวนหาที่จอดรถ คุณเพียงจ่ายค่าบริการ และยังนั่งทำอะไรได้อีกหลายต่อหลายอย่างขณะรถกำลังเดินทาง
ลูกๆ ของเราไม่จำเป็นต้องมีใบขับขี่ และอาจไม่ได้เป็นเจ้าของรถอีกต่อไป รูปโฉมของเมืองจะเปลี่ยนไป เพราะว่าคนจะใช้รถน้อยลงถึง 90-95% ลานจอดรถก็จะปรับเปลี่ยนให้เป็นลานสาธารณะได้
คนตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ 1.2 ล้านคนทุกปี แต่รถยนต์ไร้คนขับจะช่วยลดอุบัติเหตุได้ โดยอุบัติเหตุ 1 ครั้ง จะเกิดในทุกๆ 6 ล้านไมล์ เทียบกับ 60,000 ไมล์ในปัจจุบัน
บริษัทรถยนต์หน้าเก่าส่วนใหญ่จะล้มละลาย เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพเดิมๆ ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่บริษัทไฮเทคอย่างเทสลา แอปเปิล หรือกูเกิล กลับสร้างรถแบบปฏิวัติ หรือสร้างคอมพิวเตอร์ติดล้อนั่นเอง
วิศวกรหลายคนจากค่ายรถโฟล์คสวาเกน หรือออดี้ ต่างพากันเกรงกลัวเทสลา ซึ่งกำลังพัฒนายานยนต์ไร้คนขับเป็นอย่างมาก
บริษัทประกันภัยรถยนต์ก็จะเริ่มประสบปัญหา ถ้าหากอุบัติเหตุทางรถยนต์ลดลง ค่าพรีเมียมประกันภัยก็ต้องลดลงตามเป็นร้อยเท่า โมเดลธุรกิจประกันภัยรถยนต์จะหายไป
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเปลี่ยนโฉม เพราะเมื่อเราทำงานในระหว่างเดินทางได้ เราก็จะเลือกย้ายไปอยู่ในแหล่งที่ไกลออกไป ซึ่งสวยงามและน่าอยู่กว่า
รถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในปี 2020 บ้านเมืองจะสะอาดขึ้น เพราะว่าไร้ควันพิษ เสียงดังจากรถจะหายไป
ค่าไฟฟ้าจะถูกลง เพราะว่าการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ปีที่แล้วมีการติดตั้งระบบพลังงานจากแสงแดด มากกว่าระบบพลังงานจากฟอสซิล
เมื่อไฟฟ้าถูก น้ำประปาก็จะถูก เพราะสามารถแปลงน้ำเค็มมาเป็นน้ำจืดได้ ด้วยราคาที่ถูกลงอย่างมาก
เครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ ราคาจะลดลงจาก $18,000 เป็น $400 ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า และยังมีความเร็วขึ้นเป็น 100 เท่า
บริษัทผลิตรองเท้าเริ่มใช้เทคโนโลยีพิมพ์ 3 มิติกันแล้ว
อะไหล่เครื่องบินสามารถผลิตด้วยเทคโนโลยีพิมพ์ 3 มิติได้ โดยเฉพาะในสนามบินที่ห่างไกล
สิ้นปีนี้เราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนที่สามารถสแกนภาพ 3 มิติ เราอาจใช้ระบบสแกน 3 มิตินี้สแกนเท้าของเรา และพิมพ์รองเท้าที่บ้านเองได้
ในจีน ได้ใช้ระบบพิมพ์ 3 มิติสร้างออฟฟิศขนาดความสูง 6 ชั้นได้แล้ว
ในปี 2027 ประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะผลิตขึ้นด้วยระบบพิมพ์ 3 มิติ
สำหรับโอกาสทางธุรกิจในวันข้างหน้า ต้องถามตัวเองก่อนว่าพวกเราจำเป็นต้องมีต้องใช้สิ่งนั้นหรือไม่ หากตอบว่าจำเป็น แล้วเราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าหากว่าธุรกิจนั้นไม่สามารถทำได้จากโทรศัพท์มือถือ ก็ลืมมันเสียเถอะ สิ่งใดก็ตามที่ออกแบบและประสบความสำเร็จในศตวรรษที่ 20 อาจจะประสบกับความล้มเหลวในศตวรรษที่ 21
เก็บความจาก : http://emerginggrowth.com/