xs
xsm
sm
md
lg

UOB พร้อมลุยเฮดจ์ฟันด์ ตั้งเป้า AUM ปีไก่โตอีก 15%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.ยูโอบีตั้งเป้าปีนี้ AUM โตอีก 15% เน้นขยายฐานลูกค้าผ่านเอเจนต์ และแพลตฟอร์มใหม่ทั้งมือถือ-อินเทอร์เน็ต ชูความได้เปรียบจากพันธมิตรชั้นนำทั้ง PIMCO เวลลิงตัน ช่วยเพิ่มความหลากหลายกองทุน ลั่นเตรียมความพร้อมขายเฮดจ์ฟันด์แก่นักลงทุนรายย่อย แต่ต้องรอความคืบหน้าจาก ก.ล.ต.ก่อน ระบุหุ้นไทยอัปไซด์จำกัด แต่ยังมีกลุ่มหุ้นกลาง-เล็กที่ให้ผลตอบแทนดี ส่วนแนวโน้มตลาดปีนี้ต้องจับตาปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งในยุโรป

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายสินทรัพย์รวมให้เติบโตขึ้นอีก 15% จากเดิมในปี 2559 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3.06 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 1.57 แสนล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 8.1 หมื่นล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 6.7 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของกองทุนรวมบริษัทจะเน้นการขยายฐานลูกค้าทุกช่องทางจำหน่าย ขยายฐานเอเจนต์ใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มการบริการทางช่องทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ส่วนกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเน้นการนำเสนอสินค้าให้ตรงความต้องการ และการให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ส่วนการเปิดขายกองทุนในปีนี้บริษัทจะมีกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจแตกต่างกับในปัจจุบันตรงที่เป็นกองทุนผสมความผันผวนต่ำ จากเดิมที่มีแค่ 2 แบบ คือ การลงทุนในหุ้น 100% และการลงทุนในตราสารหนี้ 100% นอกจากนี้ยังมีกองทุนที่ลงทุนในไฮยิลด์บอนด์ต่างประเทศ โดยจะเน้นที่ระยะเวลาการลงทุนของตราสารหนี้ที่ไม่นานเกิน 3 ปี เนื่องจากมองว่าในช่วงต่อจากนี้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการออกทุนต่างประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ก็เป็นอีกทางเลือกที่บริษัทให้ความสนใจ

“เราจะเพิ่มความร่วมมือกับคู่ค้า รวมถึงการเชื่อมโยงพันธมิตรสากลที่เราได้เปรียบในการออกสินค้า รวมถึงช่องทางมือถือที่บริษัทคาดว่าประมาณช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้จะสามารถเปิดให้บริการผ่านแอปฯ ในการซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุน และดูรายละเอียดพอร์ตการลงทุนเช็ก NAV แก่ลูกค้าที่ลงทุนในกองทุนรวมได้ ส่วนการออกกองทุนนั้นในช่วงครึ่งแรกเราก็ดูไว้ ส่วนครึ่งหลังที่จะออกได้คงเป็นกองที่เป็นการลงทุนในหลากสินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องกองเฮดจ์ฟันด์ที่ดูเหมือนจะเงียบไป แต่ทางเราตอนนี้มีความพร้อมแล้วถึง 50% และกองประเภทนี้ที่สิงคโปร์ก็มีเปิดขายแก่ลูกค้ากองทุนรวมอยู่แล้ว” นายวนากล่าว

นายวนากล่าวอีกว่า ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทยต่อจากนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ยังเติบโตต่อเนื่องได้ในระดับร้อยละ 3-3.5 (ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2) จากการฟื้นตัวของรายได้ภาคการเกษตร กอปรกับภาระการผ่อนหนี้จากมาตรการรถยนต์คันแรกจะเริ่มทยอยหมดในช่วงปี 2560-61 โดยโครงการลงทุนภาครัฐที่ประมูลแล้วเสร็จในปี 2559 จะเริ่มก่อสร้างในปี 2560 ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นจากโครงการลงทุนเหล่านั้น

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการที่จะออกประมูลในปี 2560 เริ่มตั้งแต่รถไฟรางคู่ห้าสายในช่วงต้นปี และโครงการอื่นๆ (มอเตอร์เวย์ ทางด่วน รถไฟฟ้า) ที่จะทยอยประมูลในช่วงระหว่างปี ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะเริ่มกลับมาเติบโตจากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตดีขึ้นหลังจากหดตัวมาต่อเนื่องในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา คาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตประมาณร้อยละ 10 ภาพรวมดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว

“การลงทุนในปีนี้มีความเสี่ยงของตลาดหุ้นที่ต้องจับตามองคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED รวมถึงต้องระมัดระวังในเรื่องทิศทางค่าเงินบาทซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ และผลการเลือกตั้งของหลายประเทศในยุโรป โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในส่วนของดัชนีได้ปรับเพิ่มขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว และมีอัปไซด์จำกัด แต่ยังมีกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งบริษัทมีกองทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไทย สมอล์ แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ฟันด์ (UTSME) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 แต่ให้ผลตอบแทนสูงตั้งแต่จัดตั้งกองทุน” นายวนากล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น