ผู้จัดการรายวัน 360 - สมาคมประกันชีวิตไทยเผยธุรกิจประกันชีวิตไทยปี 2559 มีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 568,260.4 ล้านบาท อัตราเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยช่องทางตัวแทนยังครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 50.5 เบี้ยรับรวมอยู่ที่ 287,214.1 ล้านบาท พร้อมประกาศเปิดศักราชใหม่ต้อนรับปี 2560 ตั้งเป้าเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 597,000 ล้านบาท มุ่งเติบโตร้อยละ 6
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยในปี 2559 ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลต่อการบริโภคของภาคเอกชนลดลง อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงให้ความสำคัญและเล็งเห็นความจำเป็นของการประกันชีวิต รวมทั้งภาคธุรกิจได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และยังได้รับการสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตจากภาครัฐ ส่งผลให้ธุรกิจประกันชีวิตปี 2559 (มกราคม-ธันวาคม 2559) มีเบี้ยประกันชีวิตรวมทั้งสิ้น 568,260.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตถึงร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จำแนกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ (New Business Premium) จำนวน 161,568.8 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเบี้ยประกันชีวิตปีแรก (First Year Premium) มีจำนวน 110,196.0 ล้านบาท เบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) จำนวน 51,372.8 ล้านบาท และเบี้ยประกันชีวิตปีต่อไป (Renewal Year Premium) 406,691.6 ล้านบาท และมีอัตราการคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตร้อยละ 84
สำหรับช่องทางการจำหน่ายนั้น ตัวแทนประกันชีวิต (Agency) ยังคงเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายประกันชีวิต โดย ณ สิ้นปี 2559 มีสัดส่วนการจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 50.5 ด้วยเบี้ยประกันชีวิตรับรวมจำนวน 287,214.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 4.5 อันดับสอง ช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์ (Bancassurance) สัดส่วนการจำหน่ายร้อยละ 43.6 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 247,494.5 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 8.3 อันดับสามช่องทางการจำหน่ายผ่านการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) มีสัดส่วนร้อยละ 2.6 เบี้ยประกันชีวิตรับรวม 14,900.5 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 4.9 และช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ (Other) อีกร้อยละ 3.3 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 18,649.6 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 0.8 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเบี้ยประกันชีวิตรับรวมปี 2559 นั้นสืบเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตหลายบริษัทได้ปรับลดนโยบายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบบชำระเบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียวลง ทำให้เบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียวมีอัตราการเติบโตลดลง รวมทั้งผลตอบแทนจากแบบประกันสะสมทรัพย์ที่ลดน้อยลง ซึ่งบริษัทประกันชีวิตได้เน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบคุ้มครองมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้
นายกสมาคมประกันชีวิตไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตไทยในปี 2560 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 คิดเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรวมประมาณ 600,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตจะประกอบด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น เศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ รายได้ของผู้บริโภค อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ สภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตในประเทศไทยในปี 2559 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 38 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก