xs
xsm
sm
md
lg

กรุงศรีตั้งเป้าปี 60 AUM 4 แสนล้าน ชี้ ศก.ไทยโต 3.3% ท่องเที่ยว-ส่งออกบูม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - บลจ.กรุงศรีเผย บริษัทตั้งเป้าแผนธุรกิจปี 60 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) ที่ 400,000 ล้านบาท สำหรับผลดำเนินงานปี 59 เติบโตที่ 1.27% มองเศรษฐกิจไทยน่าจะโตที่ 3.3% เนื่องจากทิศทางการส่งออกที่พลิกกลับมาดีขึ้น รวมทั้งการท่องเที่ยวที่กลับมาดีอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ภายในประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ

น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2560 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 4 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกความต้องการและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนสามารถจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมกับทุกสภาวะการลงทุน รวมทั้งมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบออนไลน์อย่างต่อเนื่อง”

“สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2559 ที่ผ่านมานั้น บริษัทได้เสนอขายกองทุนใหม่จำนวน 12 กองทุน ซึ่งครอบคลุมทุกสินทรัพย์ ทั้งหุ้นต่างประเทศ หุ้นในประเทศ ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก โดยมียอดเงินลงทุนสุทธิของทั้ง 12 กองทุนในช่วง IPO คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 7,800 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดให้บริการโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุน RMF ทุกกองทุนซึ่งมีให้เลือกกว่า 15 นโยบายการลงทุน รวมทั้งได้ปรับปรุงรูปแบบเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและรองรับการใช้งานของอุปกรณ์มือถือทุกประเภท”

“สำหรับทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทในปี 2559 เติบโตอยู่ที่ระดับ 12.7% ในส่วนของกองทุนรวมมีอัตราการเติบโตที่ 12.4% กองทุนส่วนบุคคลมีอัตราการเติบโตที่ 19.6% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอัตราการเติบโตที่ 11.6% นอกจากนี้ บลจ.กรุงศรียังได้รับแต่งตั้งให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งจดทะเบียนแล้ว มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท”

“ในปี 2559 บลจ.กรุงศรีมียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิในกองทุนหุ้นกว่า 1,700 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมมียอดเงินลงทุนสุทธิติดลบในกองทุนหุ้นกว่า 12,000 ล้านบาท ด้านผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของบริษัทในปีที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนรวมหุ้นและกองทุน LTF ที่ยังคงได้รับความนิยมจากนักลงทุน และมียอดเงินลงทุนสุทธิติดอันดับต้นๆ ในอุตสาหกรรม ในส่วนของกองทุน KFSDIV เป็นหนึ่งในกองทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และยังคงรักษาตำแหน่งกองทุนหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 19,187 ล้านบาท

ด้านทิศทางเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ เน้นปฏิรูปภาษีและกระตุ้นการคลังเป็นหลัก โดยมองว่าทรัมป์ไม่สามารถทำตามนโยบายของตัวเองได้ทั้งหมด ด้านยุโรปเหลือแค่มาตรการการคลังที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ภูมิภาคเอเชีย จีนเศรษฐกิจปีนี้น่าจะโตที่ 6.5% โดยเน้นนโยบายภาครัฐจัดการในประเทศอย่างมีเสถียรภาพ ส่วนญี่ปุ่น ปัจจุบันค่าเงินเยนอ่อน ดอกเบี้ยติดลบ ใช้นโยบายกระตุ้นการคลังและการส่งออกที่กลับมาดีอีกครั้งเป็นตัวกระตุ้น

สำหรับประเทศไทย น่าจะเติบโตที่ 3.3% โดยมีปัจจัย 4 ด้าน คือ 1. การบริโภคภาคเอกชนและด้านการเกษตร ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการปรับตัวของค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น สภาพคล่องทางเศรษฐกิจและ SME 3. ด้านการส่งออกที่กลับมาดีอีกครั้ง คาดว่าจะโตถึง 1.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านราคา 4. ด้านการท่องเที่ยว ปีนี้น่าจะกลับมาบูมอีกครั้ง โดยมีแรงขับเคลื่อนภายในประเทศ น่าจะโต 8-10% หลังจากประเทศไทยที่กลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น