xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้ เวลธ์ นำทัพกูรูร่วมเปิดมุมมอง “เจาะเทรนด์การลงทุนปี 60” ยกตลาดหุ้น “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อินเดีย” เป็นดาวรุ่ง รับกระแสเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum: “เจาะเทรนด์การลงทุนปี 60-ใครรุ่ง...ใครร่วง” นำบรรดากูรูชั้นนำของทิสโก้ร่วมเปิดมุมมองและวิเคราะห์การลงทุนในปีนี้ พร้อมยกตลาดหุ้น “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อินเดีย” เป็นดาวรุ่ง รับกระแสเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ฉายภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2560 ว่า จะมีความแตกต่างไปจากปี 2559 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัว ส่งผลต่อรูปแบบการใช้นโยบายเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากการใช้นโยบายการเงิน เช่นการทำ QE และดอกเบี้ยติดลบ ไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ การชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดี Donald Trump และการครองเสียงข้างมากของพรรค Republican ในสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันมาตรการลดภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกในปี 2560

ทั้งนี้ ในปี 2559 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.0% นับว่าต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 (ค.ศ. 2008) เนื่องจากการลงทุนและการค้าโลกที่หดตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนการบริโภคไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ ส่วนในปี 2560 เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีขึ้นที่ 3.4% ตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการค้าโลก ประกอบกับแรงส่งจากนโยบายการคลัง โดยเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากไม่ขยายตัวมาตั้งแต่ปี 2557

ตลาดหุ้นเป็นดาวรุ่งปี 2560 แนะลงทุน “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อินเดีย”
“การเร่งตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกลับมาขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี น่าจะทำให้ปี 2560 เป็นอีกปีที่ดีของตลาดหุ้น โดยเรายังคงแนะนำ Overweight ใน 'ตลาดหุ้นสหรัฐฯ' ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ส่วน 'ตลาดหุ้นญี่ปุ่น' มีปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนอ่อนค่าและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูกจึงเป็นโอกาสลงทุน ส่วน 'ตลาดหุ้นอินเดีย' ที่ปรับฐานจากผลกระทบของการยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี” นายคมศรกล่าว พร้อมแนะนำให้ขายทำกำไร 'น้ำมัน' ที่ราคาปรับขึ้นมามากและข่าวดีจากความตกลงลดปริมาณการผลิตได้ถูกประกาศออกมาหมดแล้ว และทยอยสะสม 'ทองคำ' ที่ย่อตัวลงมากเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

อย่างไรก็ดี ในปี 2560 ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ 1) ความเสี่ยงทางการเมืองจากการเจรจา Brexit และการเลือกตั้งในยุโรปหลายประเทศ 2) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวลดลงหากกลุ่ม OPEC ตัดสินใจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้ และ 3) แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เช่นการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่องผ่าน QE ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4

บลจ.ทิสโก้ชูกองทุนเด่นปี 60 เผยกองหุ้นยังมาแรง เน้น “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อินเดีย-จีน”
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ บลจ.ทิสโก้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปีที่หลายประเทศหันมาผลักดันนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “สหรัฐฯ” และ “ญี่ปุ่น” ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในตลาดหุ้นทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดย บลจ.ทิสโก้แนะนำลงทุนใน กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์ (TUSEQ-UH) เน้นลงทุนในดัชนี S&P500 และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 แห่ง อ้างอิงดัชนี NIKKEI 225

นอกจากนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็เป็นอีกกองทุนที่มีความน่าสนใจในฝั่งเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยตลาดหุ้นยังซื้อขายกันที่ระดับราคายังไม่แพง นอกจากตลาดหุ้นอินเดีย บลจ.ทิสโก้ยังคงแนะนำตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างตลาดหุ้น Shenzhen กับ Hongkong ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้มีเม็ดเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ฮ่องกงมากขึ้น บลจ.ทิสโก้จึงแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี HSCEI อีกกองหนึ่ง

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย แม้จะปรับตัวขึ้นมามากแล้วแต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการคัดสรรหุ้นรายตัว จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง คัดเลือกโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูง มีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างกองทุน ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (TISCOHD) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ดิวิเดนด์ ซีเล็ค อิควิตี้ (TISCODS)

“สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน สามารถลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทจัดการ” นายสาห์รัชกล่าว

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันอัตราความเสี่ยงตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

ด้าน นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่ามี Valuation ที่ค่อนข้างแพง แต่ EPS ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง SET Index จึงยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่มีความผันผวนและมี Upside จำกัด โดยกรอบ SET Index ในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500-1,650 จุด และอาจมี Upside จากฟองสบู่ได้ถึง 1,700 จุด โดยในช่วงนี้-เม.ย.จะเกิดปรากฏการณ์ Dividend Effect นักลงทุนซื้อหุ้นเพื่อเก็งปันผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีย่อตัวลงมาและไปขายในช่วง มี.ค.-เม.ย. โดยแนะนำให้เล่นหุ้นที่ยังราคาขึ้นน้อย (Laggard) แต่มีผลประกอบการและปันผลดีในกลุ่มธนาคาร และก่อสร้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น