บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน รวมมูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท มองภาพรวมเศรษฐกิจปี 60 เติบโต เนื่องจากมีผลจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 19 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 4.1550 บาทต่อหน่วย ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ เฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 และไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดย ณ วันที่ 13 ม.ค. 60 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 4.23 % และย้อนหลัง 1 ปี 13.65%
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 11 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 2.3000 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคงและมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม และมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่เกินกว่าร้อยละ 35 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดย ณ วันที่ 13 ม.ค. 60 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 6.53% ย้อนหลัง 1 ปี 18.89%
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 14 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 3.1500 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดย ณ วันที่ 13 ม.ค. 60 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.10% ย้อนหลัง 1 ปี 21.12%
“กองทุน LTF ทั้ง 3 กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย บลจ.ไทยพาณิชย์มีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ตลอดเวลา โดยช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่เงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่าจะเริ่มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการลงทุนภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากเงินลงทุนของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่เนื่องจากในไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนั้นคือการลงทุนหุ้นที่มีความแน่นอนสูงในผลกำไรเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนไม่ให้ผันผวนไปตามตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่อย่างไรก็ตามก็จะคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และเข้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง โดยมองว่าช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเป็นจังหวะเข้าซื้อ” นายสมิทธ์กล่าว
นายสมิทธ์กล่าวว่า บลจ.ไทยพาณิชย์มองว่าภาพรวมการลงทุนหุ้นไทยในปี 2560 ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับเข้าไทยอีกครั้งภายหลังจากที่ไตรมาสที่ 4 ได้ขายหุ้นไทยไปถึง 54,553 ล้านบาท โดยนักลงทุนได้คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้รับข่าวเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตจากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ไปพอสมควรแล้ว จึงขายทำกำไรและกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทยอีกครั้ง
ประกอบกับการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในกรอบ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็นสัดส่วนที่สูงจึงได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอีกทางหนึ่ง ดังนั้น โดยภาพรวมปี 2560 หุ้นไทยยังคงคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จะยังคงมีความผันผวนระหว่างทางจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ ทั้งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนในนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐอเมริกา