บลจ.กสิกรไทยเผยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นไทยจำนวน 2 กองทุน รวมมูลค่า 204.05 ล้านบาท ด้านทิศทางตลาดหุ้นกสิกรไทยมองว่าปี 2560 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาค
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นไทยจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นทุน (K-EQUITY) ในอัตรา 1.05 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559-31 ธันวาคม 2559 และกองทุนเปิดเค สตราทิจิค แอคทีฟ หุ้นทุนปันผล (K-STADE) ในอัตรา 0.38 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559-31 ธันวาคม 2559 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 13 มกราคม 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 204.05 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-EQUITY ที่ผ่านมา นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 23 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 25.70 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 6 เดือนที่ผ่านมา (1 ก.ค. 59-31 ธ.ค. 59) จ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 1.05 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 5.81% ต่อปี ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน และ 1 ปีอยู่ที่ 8.05% และ 17.03% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 ธ.ค. 59) ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทุนใช้กลยุทธ์เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังเป็นปัจจัยบวกในระยะกลางถึงยาว และหุ้นของบริษัทที่ยังมีความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ดีแม้ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่มีความผันผวน ทำให้กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-STADE กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 19 ครั้ง รวมเป็นเงิน 9.37 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา (1 ม.ค. 59-31 ธ.ค. 59) กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 9.27% ต่อปี ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน และ 1 ปีอยู่ที่ 6.43% และ 13.48% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 ธ.ค. 59) ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทุนใช้กลยุทธ์เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีการกระจายลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาทยอยขายทำกำไรในหุ้นของบางบริษัทที่ราคามีการปรับตัวขึ้นมาสูงเกินปัจจัยพื้นฐานหรือเกินมูลค่าที่เหมาะสมด้วย
“สำหรับในปี 2560 นี้ บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยบริษัทได้คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้ไว้ที่ 10% และมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2560 ที่ 1,690 จุด ซึ่งปัจจัยสนับสนุนยังมาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลักจากมาตรการเร่งใช้จ่ายภาครัฐและเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมในปีนี้ นอกจากนี้ การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากรายได้ภาคเกษตรกรที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาค ส่วนปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรติดตามในปีนี้คือจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ในระยะสั้น รวมถึงติดตามความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยปีนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง และกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาลและการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอาหารและการบริโภคภายในประเทศ” นางสาวธิดาศิริกล่าว