นักลงทุนแห่ซื้อกองอินคัม บลจ.ไทยพาณิชย์เพิ่มทุนอีก 7.2 พันล้านรองรับ ระบุถึงแม้การลงทุนในตลาดโลกผันผวนแต่การลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่สม่ำเสมอเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เน้นลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดี ควบกองอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างผลตอบแทน
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้สถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันตลาดโดยรวมยังคงมีความผันผวนสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ยังมีทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนที่เน้นการได้รับผลตอบแทนในรูปกระแสเงินสดสม่ำเสมอและมองข้ามความผันผวนในระยะสั้นไป ซึ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด เช่น ตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น
บริษัทจึงอยากแนะนำกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCBPLUS) ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Multi-Asset Income เน้นกระจายเงินลงทุนออกไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เน้นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ระหว่างทาง โดยเปิดให้นักลงทุนซื้อได้ทุกวันทำการ และมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอไม่เกินปีละ 4 ครั้ง
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้ทำการเพิ่มทุนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCBPLUS)อีกกว่า 7,250 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน ส่งผลให้ปัจจุบันกองทุน SCBPLUS มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22,800 ล้านบาท นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 และมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทุน SCBPLUS มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายในประเทศ เน้นตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูงและสม่ำเสมอ เช่น ตราสารหนี้ เงินฝาก หน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุน REITs ซึ่งกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มองหาสินทรัพย์คุณภาพดีที่สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอ โดยยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ในระดับปานกลางค่อนข้างสูง และสามารถลงทุนในระยะยาวไม่น้อยกว่า 1 ปี
อย่างไรก็ตาม นโยบายการลงทุนยังได้เปิดกว้างให้สามารถกระจายการลงทุนได้ทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก หน่วยลงทุนของกองทุน โดยผู้จัดการกองทุนสามารถพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนและตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้น และยังเปิดให้สามารถลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน