บลจ.เมย์แบงก์เผยกองทุนหุ้นญี่ปุ่นผลงานดี โชว์ผลการดำเนินงานกองทุนอีทีเอฟ MJP 6 เดือนโต 14% พร้อมประกาศจ่ายปันผลกอง MJP หน่วยละ 1.32 บาท คิดเป็นเงินปันผลตอบแทน 13.2% ชี้ผลงานกองดีตามตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลังเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว กำไรต่อหุ้น บจ.เติบโต
นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเมย์แบงก์ เจแปน อีทีเอฟ (MJP) ในอัตราหน่วยลงทุนละ 1.32 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) 13.2% โดยกำหนดปิดสมุดทะเบียนวันที่ 21 กรกฎาคม 2558 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 หลังจากที่กองทุน MJP จัดตั้งขึ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนเท่านั้น เนื่องจากกองทุน MJP มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยกองทุน MJP จะเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI Japan และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
โดยผลการดำเนินงานของกองทุน MJP ถือว่าเติบโตอย่างโดดเด่นมากในช่วงเวลาอันสั้น เพียง 6 เดือนกองทุนเติบโตถึง 14% เป็นผลมาจากนโยบายอาเบะโนมิกส์ที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่นเติบโตขึ้น จนทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน (Earning Momentum)
สำหรับมุมมองในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ยังเชื่อว่าผลการดำเนินงานของกองทุน MJP น่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยการเติบโตของกำไรต่อหุ้นในตลาดนิกเกอิจะยังคงเป็นแรงส่งให้ราคาของหุ้นบริษัทจดทะเบียนปรับตัวสูงขึ้นได้อีก รวมถึงการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) ในประเทศอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้พีอีของตลาดหุ้นญี่ปุ่นขยายตัวและดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นต่อไปได้เช่นกัน ส่วนกรณีวิกฤตการเงินในประเทศกรีซนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF : MEU) ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นของบริษัทชั้นในกลุ่มประเทศยุโรป เนื่องจากกองทุน MEU ไม่มีการลงทุนในประเทศกรีซ
โดย บลจ.เมย์แบงก์มองว่าผลกระทบจากปัญหาจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจกรีซมีขนาดเพียง 2% ของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของกรีซที่มีมูลค่ามากกว่า 80% ของจำนวนหนี้ทั้งหมดเป็นกลุ่มทรอยก้าซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงสามารถจำกัดความเสี่ยงที่จะลุกลามไปยังภาคเอกชนได้พอสมควร แต่อย่างไรก็ดี หากกรีซจำเป็นต้องออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรจริงอาจทำให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นลุกลามไปยังประเทศที่มีฐานะการคลังที่อ่อนแอ แต่ผลกระทบมีไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรปจำนวนทั้งสิ้นราว 1.1 ล้านยูโรที่จะช่วยลดผลกระทบการผิดนัดชำระหนี้ไม่ให้ลุกลามไปยังรัฐบาลประเทศอื่นๆ ได้ ทั้งนี้ ในระยะสั้นหากกรีซต้องออกจากกลุ่มยูโรอาจเกิดการขายเพราะตกใจ (panic sell) ขึ้นได้ ส่วนการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปแนะนำรอลงทุนเพิ่มเมื่อมีโอกาส และสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว
สำหรับการปันผลของกองทุนอีทีเอฟอีก 3 กองของเมย์แบงก์ ได้แก่ กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูเอส อีทีเอฟ (Maybank US ETF : MUS) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF : MEU) และกองทุนเปิดเมย์แบงก์ อีเมอร์จิ้ง อีทีเอฟ (Maybank Emerging ETF : MEM) นั้น บลจ.เมย์แบงก์มีแผนจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้โดยจะพิจารณาจากผลประกอบการของทั้ง 3 กองเป็นหลัก
นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเมย์แบงก์ เจแปน อีทีเอฟ (MJP) ในอัตราหน่วยลงทุนละ 1.32 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) 13.2% โดยกำหนดปิดสมุดทะเบียนวันที่ 21 กรกฎาคม 2558 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 หลังจากที่กองทุน MJP จัดตั้งขึ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนเท่านั้น เนื่องจากกองทุน MJP มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยกองทุน MJP จะเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI Japan และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
โดยผลการดำเนินงานของกองทุน MJP ถือว่าเติบโตอย่างโดดเด่นมากในช่วงเวลาอันสั้น เพียง 6 เดือนกองทุนเติบโตถึง 14% เป็นผลมาจากนโยบายอาเบะโนมิกส์ที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่นเติบโตขึ้น จนทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน (Earning Momentum)
สำหรับมุมมองในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ยังเชื่อว่าผลการดำเนินงานของกองทุน MJP น่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยการเติบโตของกำไรต่อหุ้นในตลาดนิกเกอิจะยังคงเป็นแรงส่งให้ราคาของหุ้นบริษัทจดทะเบียนปรับตัวสูงขึ้นได้อีก รวมถึงการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) ในประเทศอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้พีอีของตลาดหุ้นญี่ปุ่นขยายตัวและดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นต่อไปได้เช่นกัน ส่วนกรณีวิกฤตการเงินในประเทศกรีซนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF : MEU) ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นของบริษัทชั้นในกลุ่มประเทศยุโรป เนื่องจากกองทุน MEU ไม่มีการลงทุนในประเทศกรีซ
โดย บลจ.เมย์แบงก์มองว่าผลกระทบจากปัญหาจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจกรีซมีขนาดเพียง 2% ของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของกรีซที่มีมูลค่ามากกว่า 80% ของจำนวนหนี้ทั้งหมดเป็นกลุ่มทรอยก้าซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงสามารถจำกัดความเสี่ยงที่จะลุกลามไปยังภาคเอกชนได้พอสมควร แต่อย่างไรก็ดี หากกรีซจำเป็นต้องออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรจริงอาจทำให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นลุกลามไปยังประเทศที่มีฐานะการคลังที่อ่อนแอ แต่ผลกระทบมีไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรปจำนวนทั้งสิ้นราว 1.1 ล้านยูโรที่จะช่วยลดผลกระทบการผิดนัดชำระหนี้ไม่ให้ลุกลามไปยังรัฐบาลประเทศอื่นๆ ได้ ทั้งนี้ ในระยะสั้นหากกรีซต้องออกจากกลุ่มยูโรอาจเกิดการขายเพราะตกใจ (panic sell) ขึ้นได้ ส่วนการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปแนะนำรอลงทุนเพิ่มเมื่อมีโอกาส และสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว
สำหรับการปันผลของกองทุนอีทีเอฟอีก 3 กองของเมย์แบงก์ ได้แก่ กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูเอส อีทีเอฟ (Maybank US ETF : MUS) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF : MEU) และกองทุนเปิดเมย์แบงก์ อีเมอร์จิ้ง อีทีเอฟ (Maybank Emerging ETF : MEM) นั้น บลจ.เมย์แบงก์มีแผนจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้โดยจะพิจารณาจากผลประกอบการของทั้ง 3 กองเป็นหลัก