บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลแนะปรับพอร์ตลงทุนพร้อมรับมือมาตรการ QE ในยุโรปและญี่ปุ่น มองตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง ขณะที่หุ้นไทยปีนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยว และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2015 จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างค่อนข้างมาก โดยจะมีการเปลี่ยนขั้วการอัดฉีดกระตุ้นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจจากฝั่งสหรัฐฯ มาเป็นภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นที่จะเป็นผู้ใช้มาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่คาดว่าจะทยอยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้จากปัจจุบัน 0.125% ต่อปี เพิ่มเป็น 1.125% ต่อปีในสิ้นปี 2015
ขณะที่เศรษฐกิจในแถบเอเชีย เนื่องจากทั้งจีน อินเดีย อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทยมีการปฏิรูปเศรษฐกิจและโครงสร้างของประเทศ โดยประเทศจีนมีแนวทางหันมาพึ่งพากำลังซื้อของคนในประเทศแทนการพึ่งพาการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการเปิดเสรีเงินหยวนเพื่อผลักดันให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักของโลก ส่วนประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย การที่รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก พร้อมผลักดันมาตรการต่างๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน
"ในปี 2015 เป็นปีที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเอเชียจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีพอสมควร เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีการคาดการณ์การขยายตัวที่ระดับ 3.8% สูงกว่าปีก่อนที่ระดับ 3.3% ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมาจากประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย อย่างจีน อินเดีย และอาเซียนที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตสูงถึง 6.6% (ที่มา : IMF)"
ส่วนการลงทุนในประเทศไทยในปีนี้มองว่ายังคงถือเป็นปีที่ดี เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่ลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีผลเชิงบวกต่อตลาดเงินตลาดทุนไทยในปีนี้ คาดว่าหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนประมาณ 10-15% กลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ กลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล และแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลงของราคาโภคภัณฑ์ เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และอาหาร
ด้านตราสารหนี้ไทย คาดว่าในครึ่งปีแรกตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาวจะยังคงทำผลงานได้ดีจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนโดยปรับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อลดผลกระทบจากแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ส่วนการลงทุนใน REITs หรือ Infrastructure Fund ก็นับเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจจากระดับเงินปันผลที่สูง
ทั้งนี้ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล แนะนำการลงทุน โดยสำหรับพอร์ตการลงทุนในประเทศมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจได้รับความผันผวนจากปัจจัยลบภายนอก เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และหุ้น เหมาะกับการลงทุนในภาวะผันผวน เช่น “กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iBALANCED)
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ แนะนำกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮยิลด์ (CIMB-PRINCIPAL EUHY) จากอานิสงส์ของมาตรการ QE ของภูมิภาคยุโรป ซึ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้จากราคาตราสารที่จะปรับเพิ่มขึ้น และเรามองว่า QE นี้จะยังคงดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2015
สำหรับกลุ่มที่ 2 ลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำลงทุนในภูมิภาคเอเชีย คือ กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิค ไดนามิค อินคัม อิควิตี้ (CIMB-PRINCIPAL APDI) โดยได้รับอานิสงส์จากสภาพคล่องของเงินลงทุนจากมาตรการ QE ของทั้งยุโรปและญี่ปุ่น รวมอานิสงส์จากนโยบายปฏิรูปของหลายประเทศในเอเชีย และกลุ่มที่ 3 ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก คือ กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iPROP) ที่คาดว่าอสังหาริมทรัพย์และ REITs จะกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้งในปี 2015 สาเหตุหลักจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มต่ำโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยและมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น และหันกลับมาลงทุนใน REITs โดยคาดว่ากอง iPROP จะมีการปรับตัวดีขึ้น