บลจ.ธนชาตเชื่อหุ้นไทยยังน่าสนใจแม้ระยะสั้นผันผวน ระบุการลงทุนภาครัฐและการเปิด AEC หนุนหุ้นไทยโต ล่าสุดเปิด 2 กองทุนใหม่ทริกเกอร์ฟันด์และกองหุ้นขนาดกลาง-เล็ก หวังช่วยสร้างผลตอบแทนหุ้นไทยที่มีแนวโน้มเติบโต
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือนนี้ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะปัจจัยระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลต่อเศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมาก ประเทศที่ดูจะมีทิศทางฟื้นตัวที่ดีอย่างเยอรมนีก็ประกาศตัวเลขออกมาไม่ดีนัก ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ยังเป็นไปได้ช้า ขณะที่ภาคส่งออกก็เติบโตได้เพียง 1% ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แต่เรามองว่าเป็นเพียงระยะสั้น และมองว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ เพราะในปีหน้าจะมีการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงการเปิดตลาด AEC
นอกจากนั้น ปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนในหุ้นไทยจากต่างชาติยังมีปริมาณน้อย ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มปริมาณลงทุนอีกมาก และที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ยังมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต่อเนื่อง เพราะสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ โดยเราคาดการณ์ว่าในปี 2558 การเติบโตทางเศรษฐกิจจะกลับมาโตที่ระดับ 3.5-4.0% และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 15%
ภาวะเศรษฐกิจได้ชะลอตัวจนถึงจุดต่ำสุดและกำลังฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนระยะเวลาประมาณ 1 ปี บลจ.ธนชาตขอเสนอ กองทุน T-Challenge 18 เสนอขายช่วงตั้งแต่วันนี้ถึง 27 ตุลาคม 2557 ซึ่งเป็นกอง Trigger Fund ลงทุนในหุ้นไทย มีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 6%* ภายใน 1 ปี แต่จะ Auto Redeem เมื่อถึง 3% (*ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดเป้าหมายที่เป็นเหตุให้เลิกโครงการเท่านั้น ไม่ใช่การประมาณการหรือการรับประกันว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในอัตราตามตัวเลขที่ระบุไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ หากภาวะตลาดปรับภาวการณ์ลงทุนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กองทุนรวมไม่ถึงตัวเลขเป้าหมายกองทุนจะเปลี่ยนเป็นกองทุนเปิดแบบไม่กำหนดอายุกองทุน)
นอกจากนั้น บลจ.ธนชาตยังเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยได้ส่งกองหุ้นจิ๋วแต่แจ๋ว กองทุนเปิดธนชาต Small Medium Cap (T-SM Cap) เสนอขาย IPO ระหว่างวันที่ 24-31 ตุลาคมนี้ และสามารถซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ โดยลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่มี High Risk/High Return มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และมักจะทำผลงานได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว ซึ่งเราจะเน้นเลือกลงทุนหุ้นรายตัวในกลุ่มที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยจะสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังมีลดความผันผวนของกองทุน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูงเข้ามาในพอร์ตอีกด้วย