xs
xsm
sm
md
lg

ONE's View : การเลือกหุ้นตามสไตล์ Economic Moat สำคัญต่อการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com

สวัสดีครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งมีเครื่องมือในการคัดเลือกหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง ได้แก่ เครื่องมือที่มีชื่อว่า “Economic Moat” ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ Warren Buffett ใช้เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืนและมีความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจในระยะยาวเพื่อเข้าลงทุน ซึ่งทาง Morning Stars ได้นำมาพัฒนาเป็น Methodology ในการจัดอันดับหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอีกด้วย

“Economic Moat” คือเครื่องมือในการคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในระยะยาว (Sustainability) และมีความสามารถในการแข่งขันในตลาด (Competitive advantage) ซึ่งจะส่งผลถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต ปัจจัยที่ใช้ประเมินว่าบริษัทนั้นมี “คูเมืองด้านเศรษฐกิจ หรือ Economic Moat” ซึ่งจะช่วยป้องกันบริษัทให้สามารถสร้างกำไรจากการทำธุรกิจได้ดีอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่ามี “Wide Moat” นั้น จะวัดกันจาก 5 ปัจจัยหลัก คือ

1) ต้นทุนของผู้บริโภคในการเปลี่ยนจากสินค้าของตนไปซื้อสินค้าอื่นแทน ซึ่งหากต้นทุนหรือความยากในการเปลี่ยนไปใช้ของอื่นแทนมีมาก เช่น ระบบ database ก็จะทำให้บริษัทยังสามารถมีฐานการทำธุรกิจได้ยาวนานกว่า เป็นต้น

2) การบริหารต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจที่ค่อนข้างต่ำโดยเปรียบเทียบ

3) จุดแข็งจากสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ขององค์กรแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เช่น ความรู้ ทักษะ ความชำนาญของบุคลากร ค่าความนิยม (goodwill) รวมไปถึงภาพลักษณ์องค์กรต่างๆ ที่สะสมมา อันจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้มากกว่าสินค้าอื่น

4) ความเชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงและซับซ้อนยากต่อการถูกทดแทน ซึ่งโดยทั่วไปมักจะมีสั่งสมมานานจากการพัฒนาหรือ Network Effect เช่น การพัฒนาปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ในระดับสูง การมีผลิตภัณฑ์ทั้งในด้านกว้างและด้านลึกที่จูงใจการทำรายการซื้อขายของ HK Exchange and Clearing เป็นต้น

และ 5) ประสิทธิภาพของขนาดการลงทุน (Efficient Scale) โดยการวิเคราะห์แบบ Economic Moat นั้นจะมีความน่าสนใจตรงที่เป็นการคัดเลือกหุ้นที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative) กับการประมาณการราคาที่เหมาะสมของหุ้นบริษัทนั้นๆ มาพิจารณาร่วมกันเพื่อหาโอกาสการลงทุน ซึ่งจะพิจารณาจากผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Returns on investment capital) ต้องสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัท (WACC) เพื่อสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทท่ามกลางธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างเสรี ซึ่งบริษัทใดที่สามารถสร้างรายได้และกำไรได้มากที่สุด รวมทั้งประคับประคองให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่ำสุดก็จะบ่งชี้ว่าบริษัทนั้นมีความแข็งแกร่งและมีความน่าสนใจในการลงทุน

แนวคิดการคัดเลือกหุ้นในลักษณะ Economic Moat นี้ สถาบันจัดอันดับอย่าง Morning Stars ก็ได้มีการนำมาประยุกต์เพื่อจัดอันดับความน่าสนใจ (Rating) ของหุ้นเช่นเดียวกัน โดยเริ่มจากการนำบริษัทที่มีลักษณะของ Economic Moat และพิจารณาประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ Moat เช่น

1) Moat Trend ซึ่งหากบริษัทใดมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งมากขึ้นก็จะจัดอยู่ในกลุ่ม Positive Trend ขณะที่หากแนวโน้มไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ในอันดับ Stable Trend เป็นต้น

2) ความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Health)

3) การดูแลของบริษัทที่ช่วยสร้างความดึงดูดของผู้ถือหุ้นในแง่ของผลตอบแทนการลงทุน เช่น นโยบายการจ่ายเงินปันผล นโยบายการกู้ยืม เป็นต้น

และ 4) ปัจจัยด้านความไม่แน่นอน (Uncertainty) มาพิจารณาแนวโน้มความสามารถในการแข่งขันและสร้างกำไรของบริษัทในอนาคตเทียบกับราคาหุ้นที่เหมาะสมที่ประมาณการไว้ โดยพิจารณาจากงบการเงินย้อนหลังและการหาจุดแข็งของบริษัทเพื่อนำมาหาราคาดังกล่าว เพื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันและราคาที่เหมาะสม โดยหากบริษัทใดที่มีโอกาสสร้างกำไรและมีแนวโน้มสร้างความสามารถในการแข่งขันได้สูง ขณะที่ราคายังคงต่ำและมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อ ก็จะได้รับการจัดอันดับน่าสนใจสูงในระดับ 5 ดาว (สูงสุดคือ 5 ดาว) เป็นต้น

ผมมองว่าความชัดเจนของแนวทางนี้ทำให้ “Economic Moat” เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกหุ้นดีๆ ในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากและต้องการหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงซึ่งน่านำมาศึกษาและใช้คัดเลือกเพื่อลงทุนหุ้นดีๆ ในอนาคตครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น