อีกแค่ไม่กี่อึดใจก็จะเข้าสู่สิ้นปี 2556 กันแล้ว หลายคนอยากจะใช้ช่วงเวลาปีใหม่เพื่อเริ่มต้นทำสิ่งดีๆให้กับชีวิต และหลายๆ คนก็อยากจะถือฤกษ์ยามงามดีแบบนี้เริ่มต้นเก็บออมเงิน ซึ่ง คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง ในช่วงส่งท้ายปีนี้ ขอเก็บรวบรวมเทคนิคการออมเงินของเหล่าดารามาฝากกัน.....
เริ่มต้นกันที่สาวลูกทุ่งเซ็กซี่ เจ้าแม่สั้นเสมอหู ไม่เสมอหูไม่ใช่ใบเตย หรือ “ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน” เธอบอกว่า ครอบครัวได้มีการปลูกฝังอย่างแรกเลยคือ ให้พอเพียง ให้รู้จักใช้เงินให้เป็น ในสิ่งที่จำเป็น และก็แบ่งส่วนการออมทั้งเงินเก็บ เงินใช้จ่ายรายวัน เงินใช้จ่ายเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายส่วนตัว ค่าน้ำมัน ค่าบ้าน ค่ารถ ที่เราต้องรับผิดชอบก็จะแบ่งเป็นบัญชีไป
โดยปัจจุบัน “ใบเตย” บริหารรายได้เข้ามาหลักๆ คือแยกเก็บ เก็บเป็นเงินฝากประจำ แล้วก็แยกเป็นเงินส่วนตัวที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน รวมถึงเงินชอปปิ้งด้วย หลักๆ ก็ควรมีเงินเก็บอย่างน้อยๆ สำหรับใบเตยเดือนหนึ่งทำงานมาเหนื่อยๆ ก็แบ่งสัก 10% เก็บไว้เผื่อการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวเรา เพราะกลัวมากที่สุดก็คือกลัวคนในครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งมันอาจจะใช้ค่ารักษาที่เยอะมาก เราจะได้มีเงินตรงนี้มารักษา เกิดอะไรขึ้นเราจะได้ไม่ลำบาก
“ประโยชน์การออมความจริงคือ 100% เลย ยิ่งมีเงินมากเวลาเราเดือดร้อนก็ช่วยได้ อย่างอื่นจะอย่างไรไม่รู้ขอเก็บเงินไว้ให้เยอะๆ ก่อน ไม่มีแฟนไม่เป็นไร ขอมีเงินไว้ก่อนค่ะ”
สิ่งที่ทำให้สาวใบเตยภูมิใจนั้นก็คือ ช่วงประมาณ 6 ขวบเริ่มหารายได้ให้ตัวเองเป็นครั้ง ด้วยการประกวดร้องเพลง งานแรกได้เงินรางวัล 3,000 บาท แล้วได้รางวัลที่ 1 ด้วย พอได้แล้วเรายังเด็กก็ให้คุณพ่อคุณแม่เก็บไว้ เก็บทุกบาททุกสตางค์ พออายุ 12 ขวบเราก็ซื้อรถยนต์ให้คุณพ่อ คุณแม่คันหนึ่งโดยเอาเงินเก็บจากการประกวดร้องเพลงตั้งแต่ 6 ขวบรวมกับเงินเก็บที่รวบรวมได้มาใช้
สำหรับอนาคต ใบเตยบอกว่าเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมมา ก็อยากเปิดโรงแรมหรือเป็นหัวหน้าฝ่ายฟรอนต์ของโรงแรม ชอบมากเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันเลย เป็นเพราะเราชอบงานด้านบริการอยู่แล้ว ก็เลยแฮปปี้อยากจะทำ
ข้ามฟากมาที่หนุ่มๆ กันบ้าง “พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์” ได้มาบอกเล่าวิธีว่า หนทางที่จะนำไปสู่การเกษียณที่ดีนั้นมาจากเงินไหลไม่ใช่เงินเก็บ หรือ Passive Income คือเรามีเงินไหลเข้ามาในลักษณะนี้ตลอดชีวิตโดยที่เราไม่ต้องทำอีกแล้วมันจึงเรียกว่าอิสรภาพทางการเงิน ทำให้เรามีเวลาและได้ใช้เงินในช่วงเวลาที่เรายังแข็งแรง ถ้าถามว่า Passive Income มาจากอะไรล่ะ ก็มาจากการลงทุน เช่น การลงทุนในตลาดทุน ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหลายคนก็มี Passive Income ไม่เหมือนกันและมีหลายทางเลือก ยกตัวอย่างเช่น หากผมมีที่ดินใจกลางเมืองให้ห้างสรรพสินค้าเช่า นี่ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการสร้าง Passive Income
ทั้งนี้ทุกคนมีจุดประสงค์และการใช้จ่ายหลังการเกษียณไม่เหมือนกัน บางคนมีเงินเดือนเดือนละ 10,000 บาทก็อยู่ได้ บางคนบอกต้องมีเดือนละ 100,000 แต่บางคนบอกว่าต้องมีเดือนละ 1,000,0000 ถึงจะอยู่ได้ แต่ทั้งหมดก็ต้องไม่ลืมเงินที่ได้รับหลังเกษียณนั้นต้องเป็นเงินไหลหรือ Passive Income แต่ถ้ามีเงินก้อนคุณจะไม่มีวันเกษียณได้เลยเพราะคนเรามีจุดจูงใจ ผมเองก็เหมือนกัน หากผมมี 300 ล้านในอายุ 45 และผมหยุดทำงานจริงๆ พออายุ 60 เงินที่เก็บได้ก็คงจะพร่องไป เกิดความไม่อุ่นใจ ผมก็ต้องลุกขึ้นมาทำใหม่อีก
“ถ้าถามผมว่าวันนี้ผมเกษียณหรือยัง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว และแน่นอนว่าเงินที่ได้นั้นมาจาก Passive Income ผมมีความสุขมีเวลาว่างให้กับคนในครอบครัว ได้ท่องเที่ยว ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และไม่ลืมที่จะให้อะไรกลับคืนสังคมด้วย ผมมองว่าการให้การศึกษาเด็กๆ นั้นมีประโยชน์ ผมจึงรับอุปการะและให้ทุนการศึกษาเด็กมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังดูแลอยู่ประมาณ 15-20 คน ในความคิดผมนะคนที่มีบุญนั้นต้องมี 5 ข้อ คือ 1. มีเงินใช้อย่างไร้กังวล 2. มีเวลาได้ใช้ 3. ได้ใช้มันตอนแข็งแรง 4. มีคนที่คุณรัก และ 5. ได้ใช้นานๆ”
มาต่อกันที่หนุ่มหล่อ ปอ -ทฤษฎี สหวงษ์ เผยเคล็ดลับการเก็บออมกับเราว่า รายได้ทั้งหมดส่วนตัวจะต้องแบ่งออกอย่างเป็นสัดส่วน ถ้าสิ่้งที่หามาได้หมดและเราไม่ออมมันก็จะไม่ได้อะไรเลย โดยผมเองเป็นคนชอบวางแผนระยะยาว เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป เราไม่ใช่ข้าราชการ ดังนั้นเราต้องวางแผนชีวิตเอาไว้ เมื่อเราอายุเยอะๆ ไปแล้วเราจะทำอย่างไร หาเงินจากไหนมาใช้ ซึ่งอายุตอนนั้นเราอาจจะหาเงินไม่ได้เก่งขนาดนั้น ดังนั้นเราต้องมีเงินออมเพื่อให้ชีวิตเรามีอนาคตอยู่ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ตัวผมเองยังให้ความสำคัญต่อกองทุนต่างๆ เช่นกองทุนทองคำ หรือกองทุนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการออมเพื่อสุขภาพ และการทำประกันชีวิต ซึ่งผมมองว่าทุกอย่างมันมีความจำเป็นถ้าเรามีการวางแผนที่เป็นระบบ
ขณะเดียวกันตอนนี้ผมได้เข้ามาทำธุรกิจนาข้าว ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะได้ผลผลิตชุดแรกของชีวิต ตื่นเต้นดี โชคดีที่ไม่เจอปัญหาภัยแล้ง หากถามว่ามั่นใจกับธุรกิจที่ทำไหม จริงๆ แล้วมันเป็นธุรกิจในครอบครัวมากกว่า เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ให้พ่อ ให้อาที่เขาเกษียณแล้วหาอะไรทำ ที่ดูแล้วเราชอบ ไม่ต้องเหนื่อยมาก และไม่ได้หาผลกำไรอะไรมากมาย ก็หาอะไรทำที่มันดีๆ ถือว่าเป็นเกษตรทดลองให้ชาวบ้านด้วย อย่างถ้ามีเวลาว่างก็จะแวะไปดูบ้าง แต่เรื่องจะซื้อที่ดินเพิ่มไหม คงไม่เพิ่ม และไม่คิดเปิดเป็นรีสอร์ตแน่นอน ก็ถือว่าทำอันที่เรามีให้มันดีๆ ก่อน เพราะว่าเราอยากจะรู้ว่าทำไมชาวนาถึงไม่ค่อยจะรวยสักที ก็อยากจะไปหาคำตอบด้วยตัวเอง ถ้าไม่ทำเองคงไม่รู้ เรื่องขาดทุน คิดว่ายังไงมันก็ไม่ขาดทุน แต่จะได้กำไรมากหรือน้อยมันอยู่ที่ตรงนั้น ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีความเสี่ยงอะไรมาก ก็แล้วแต่ทุกๆ ธุรกิจมีความเสี่ยงหมด
หนิง - ปณิตา ธรรมวัฒนะ มองว่าภาพรวมการลงทุนในบ้านเราคิดว่าตลาดยังสามารถไปต่อได้ แต่เราต้องดูว่าเราจะลงทุนในเรื่องของอะไร ซึ่งธุรกิจความสวยความงามตอนนี้คิดว่าน่าจะไปได้ดี แต่คงเป็นสัดส่วนที่ไม่ได้ลงทุนใหญ่มาก ส่วนรายได้ปัจจุบันที่เข้ามาแต่ละเดือนไม่ตายตัว บางเดือนก็ได้เยอะ บางเดือนก็ได้น้อย แต่ถ้าได้เงินก้อนใหญ่มาจะเก็บฝาก 50% อีก 50% ไว้เพื่อลงทุน ส่วนรายได้ที่ได้ตรงในแต่ละเดือนก็จะเป็นค่าใช้จ่าย ซี่งตอนนี้หนิงมีทำธุรกิจเพิ่มเกี่ยวกับอาหารเสริม อาจจะไม่ใหญ่มาก และเราก็ไม่เคยเกี่ยงงาน
ส่วนการวางแผนระยะยาวนั้นเราควรจะมีสัดส่วนของการแบ่งออม แบ่งลงทุน เพื่อเป็นการต่อยอดเงินในกระเป๋า เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล มีเงินสด ลงทุนธุรกิจ เพราะค่าเงินทุกวันนี้ก็น้อยลงทุกวันดังนั้นเราควรนำเงินมาต่อยอดจะดีที่สุด แต่ก็ต้องดูถึงความเสี่ยงของการลงทุนด้วย ทั้งนี้ การออมเงินมีประโยชน์อย่างมาก มันจะช่วยเราได้ในยามฉุกเฉิน เพราะคนเราไม่แน่นอน มันอาจจะเกิดภาวะฉุกเฉินกะทันหัน แต่ถ้าจะให้ออมอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องมีการแบ่งเงินออกมาลงทุนบ้าง ถ้าฝากไว้เฉยๆ ค่าเงินก็จะลดลง ข้าวของก็แพงขึ้น
สำหรับการวางแผนให้แก่ลูกสาว แม้ว่า “น้องณิริน-ด.ญ.ปณิริน ธรรมวัฒนะ” จะยังไม่ถึงขวบ แต่เราต้องวางแผนให้เขาตั้งแต่เนิ่นๆ มีการซื้อประกันให้ลูก ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพ อีกส่วนหนึ่งคือการดูสถานที่เรียนให้ลูกว่าจะเรียนที่อเมริกา หรืออังกฤษดี ได้มีการพูดคุยกันบ้าง
“ถ้าจะวางแผนก็คงเป็นเหมือนแม่ทุกคนที่ว่าอยากจะให้เรียนดีๆ ได้เป็นเด็กที่ดี โตขึ้นมาทำประโยชน์ให้ครอบครัว ให้สังคม แต่ว่าจะเป็นลูกแบบไหน หนิงก็รอเขาที่เขาจะเป็น แต่อาจจะมีสร้างให้เขา ดูว่าเขาชอบอะไร อย่างเช่นช่วงนี้ก็มีพาไปเรียนว่ายน้ำเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พัฒนาการเขาจะได้ดี ก็วางแผนไว้ว่าอาจจะให้มีเรียนดนตรี เรียนศิลปะ ถ้าเรียนทั้งภาษา ศิลปะ ดนตรี เด็กก็จะพัฒนาหลายๆ อย่าง แล้วก็ดูเขาว่าเขาชอบอะไร ให้เขาได้ลองหลายๆ อย่าง อันนี้อาจจะเป็นแผนการ ในเรื่องโรงเรียนก็ยังเถียงกันอยู่”
ทิ้งท้ายที่ รัฐศาสตร์ กรสูต หรือเปปเปอร์ อดีตนักร้องวง U.H.T. กล่าวว่า ปัจจุบันผมจัดพอร์ตของผม โดยจะแบ่งออกเป็นการออมระยะยาว ซึ่งเราจะไม่ใช้มันเลย เช่น เมื่อผมได้เงินมา 100 บาท ผมจะหักออก 20% ใช้ในชีวิตประจำวัน 50% เก็บออมระยะยาว ส่วนอีก 30% จะนำมาลงทุน โดยใน 30% จะแบ่งออกเป็น 20% ลงทุนในหุ้น ที่เหลือเป็นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อให้เช่า
สำหรับเทคนิคการออมเงิน เราควรเริ่มต้นสำรวจสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราก่อนว่าอะไรที่จำเป็นและไม่จำเป็น เช่น โทรศัพท์บางคนมีถึงสองเครื่อง หรือติดเคเบิลทีวี ซึ่งบางครั้งเราก็ดูไม่ครบทุกช่องที่มี มันก็เป็นการเปลืองค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ถ้าเราปิดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยตรงนี้ไปเชื่อว่าเราจะมีเงินเหลือเก็บ โดยเราต้องมองรอบๆ ตัวเราก่อน ขณะเดียวกันเราเองก็ต้องยับยั้งชั่งใจด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนมีชุุดกอล์ฟใหม่ หรือรถคันใหม่เราก็อยากได้ตาม แบบนี้ก็ไม่ดี เราต้องเตือนสติตัวเองไว้กับของที่ไม่จำเป็น
เริ่มต้นกันที่สาวลูกทุ่งเซ็กซี่ เจ้าแม่สั้นเสมอหู ไม่เสมอหูไม่ใช่ใบเตย หรือ “ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน” เธอบอกว่า ครอบครัวได้มีการปลูกฝังอย่างแรกเลยคือ ให้พอเพียง ให้รู้จักใช้เงินให้เป็น ในสิ่งที่จำเป็น และก็แบ่งส่วนการออมทั้งเงินเก็บ เงินใช้จ่ายรายวัน เงินใช้จ่ายเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายส่วนตัว ค่าน้ำมัน ค่าบ้าน ค่ารถ ที่เราต้องรับผิดชอบก็จะแบ่งเป็นบัญชีไป
โดยปัจจุบัน “ใบเตย” บริหารรายได้เข้ามาหลักๆ คือแยกเก็บ เก็บเป็นเงินฝากประจำ แล้วก็แยกเป็นเงินส่วนตัวที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน รวมถึงเงินชอปปิ้งด้วย หลักๆ ก็ควรมีเงินเก็บอย่างน้อยๆ สำหรับใบเตยเดือนหนึ่งทำงานมาเหนื่อยๆ ก็แบ่งสัก 10% เก็บไว้เผื่อการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวเรา เพราะกลัวมากที่สุดก็คือกลัวคนในครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งมันอาจจะใช้ค่ารักษาที่เยอะมาก เราจะได้มีเงินตรงนี้มารักษา เกิดอะไรขึ้นเราจะได้ไม่ลำบาก
“ประโยชน์การออมความจริงคือ 100% เลย ยิ่งมีเงินมากเวลาเราเดือดร้อนก็ช่วยได้ อย่างอื่นจะอย่างไรไม่รู้ขอเก็บเงินไว้ให้เยอะๆ ก่อน ไม่มีแฟนไม่เป็นไร ขอมีเงินไว้ก่อนค่ะ”
สิ่งที่ทำให้สาวใบเตยภูมิใจนั้นก็คือ ช่วงประมาณ 6 ขวบเริ่มหารายได้ให้ตัวเองเป็นครั้ง ด้วยการประกวดร้องเพลง งานแรกได้เงินรางวัล 3,000 บาท แล้วได้รางวัลที่ 1 ด้วย พอได้แล้วเรายังเด็กก็ให้คุณพ่อคุณแม่เก็บไว้ เก็บทุกบาททุกสตางค์ พออายุ 12 ขวบเราก็ซื้อรถยนต์ให้คุณพ่อ คุณแม่คันหนึ่งโดยเอาเงินเก็บจากการประกวดร้องเพลงตั้งแต่ 6 ขวบรวมกับเงินเก็บที่รวบรวมได้มาใช้
สำหรับอนาคต ใบเตยบอกว่าเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมมา ก็อยากเปิดโรงแรมหรือเป็นหัวหน้าฝ่ายฟรอนต์ของโรงแรม ชอบมากเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันเลย เป็นเพราะเราชอบงานด้านบริการอยู่แล้ว ก็เลยแฮปปี้อยากจะทำ
ข้ามฟากมาที่หนุ่มๆ กันบ้าง “พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์” ได้มาบอกเล่าวิธีว่า หนทางที่จะนำไปสู่การเกษียณที่ดีนั้นมาจากเงินไหลไม่ใช่เงินเก็บ หรือ Passive Income คือเรามีเงินไหลเข้ามาในลักษณะนี้ตลอดชีวิตโดยที่เราไม่ต้องทำอีกแล้วมันจึงเรียกว่าอิสรภาพทางการเงิน ทำให้เรามีเวลาและได้ใช้เงินในช่วงเวลาที่เรายังแข็งแรง ถ้าถามว่า Passive Income มาจากอะไรล่ะ ก็มาจากการลงทุน เช่น การลงทุนในตลาดทุน ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหลายคนก็มี Passive Income ไม่เหมือนกันและมีหลายทางเลือก ยกตัวอย่างเช่น หากผมมีที่ดินใจกลางเมืองให้ห้างสรรพสินค้าเช่า นี่ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการสร้าง Passive Income
ทั้งนี้ทุกคนมีจุดประสงค์และการใช้จ่ายหลังการเกษียณไม่เหมือนกัน บางคนมีเงินเดือนเดือนละ 10,000 บาทก็อยู่ได้ บางคนบอกต้องมีเดือนละ 100,000 แต่บางคนบอกว่าต้องมีเดือนละ 1,000,0000 ถึงจะอยู่ได้ แต่ทั้งหมดก็ต้องไม่ลืมเงินที่ได้รับหลังเกษียณนั้นต้องเป็นเงินไหลหรือ Passive Income แต่ถ้ามีเงินก้อนคุณจะไม่มีวันเกษียณได้เลยเพราะคนเรามีจุดจูงใจ ผมเองก็เหมือนกัน หากผมมี 300 ล้านในอายุ 45 และผมหยุดทำงานจริงๆ พออายุ 60 เงินที่เก็บได้ก็คงจะพร่องไป เกิดความไม่อุ่นใจ ผมก็ต้องลุกขึ้นมาทำใหม่อีก
“ถ้าถามผมว่าวันนี้ผมเกษียณหรือยัง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว และแน่นอนว่าเงินที่ได้นั้นมาจาก Passive Income ผมมีความสุขมีเวลาว่างให้กับคนในครอบครัว ได้ท่องเที่ยว ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และไม่ลืมที่จะให้อะไรกลับคืนสังคมด้วย ผมมองว่าการให้การศึกษาเด็กๆ นั้นมีประโยชน์ ผมจึงรับอุปการะและให้ทุนการศึกษาเด็กมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังดูแลอยู่ประมาณ 15-20 คน ในความคิดผมนะคนที่มีบุญนั้นต้องมี 5 ข้อ คือ 1. มีเงินใช้อย่างไร้กังวล 2. มีเวลาได้ใช้ 3. ได้ใช้มันตอนแข็งแรง 4. มีคนที่คุณรัก และ 5. ได้ใช้นานๆ”
มาต่อกันที่หนุ่มหล่อ ปอ -ทฤษฎี สหวงษ์ เผยเคล็ดลับการเก็บออมกับเราว่า รายได้ทั้งหมดส่วนตัวจะต้องแบ่งออกอย่างเป็นสัดส่วน ถ้าสิ่้งที่หามาได้หมดและเราไม่ออมมันก็จะไม่ได้อะไรเลย โดยผมเองเป็นคนชอบวางแผนระยะยาว เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป เราไม่ใช่ข้าราชการ ดังนั้นเราต้องวางแผนชีวิตเอาไว้ เมื่อเราอายุเยอะๆ ไปแล้วเราจะทำอย่างไร หาเงินจากไหนมาใช้ ซึ่งอายุตอนนั้นเราอาจจะหาเงินไม่ได้เก่งขนาดนั้น ดังนั้นเราต้องมีเงินออมเพื่อให้ชีวิตเรามีอนาคตอยู่ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ตัวผมเองยังให้ความสำคัญต่อกองทุนต่างๆ เช่นกองทุนทองคำ หรือกองทุนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการออมเพื่อสุขภาพ และการทำประกันชีวิต ซึ่งผมมองว่าทุกอย่างมันมีความจำเป็นถ้าเรามีการวางแผนที่เป็นระบบ
ขณะเดียวกันตอนนี้ผมได้เข้ามาทำธุรกิจนาข้าว ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะได้ผลผลิตชุดแรกของชีวิต ตื่นเต้นดี โชคดีที่ไม่เจอปัญหาภัยแล้ง หากถามว่ามั่นใจกับธุรกิจที่ทำไหม จริงๆ แล้วมันเป็นธุรกิจในครอบครัวมากกว่า เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ให้พ่อ ให้อาที่เขาเกษียณแล้วหาอะไรทำ ที่ดูแล้วเราชอบ ไม่ต้องเหนื่อยมาก และไม่ได้หาผลกำไรอะไรมากมาย ก็หาอะไรทำที่มันดีๆ ถือว่าเป็นเกษตรทดลองให้ชาวบ้านด้วย อย่างถ้ามีเวลาว่างก็จะแวะไปดูบ้าง แต่เรื่องจะซื้อที่ดินเพิ่มไหม คงไม่เพิ่ม และไม่คิดเปิดเป็นรีสอร์ตแน่นอน ก็ถือว่าทำอันที่เรามีให้มันดีๆ ก่อน เพราะว่าเราอยากจะรู้ว่าทำไมชาวนาถึงไม่ค่อยจะรวยสักที ก็อยากจะไปหาคำตอบด้วยตัวเอง ถ้าไม่ทำเองคงไม่รู้ เรื่องขาดทุน คิดว่ายังไงมันก็ไม่ขาดทุน แต่จะได้กำไรมากหรือน้อยมันอยู่ที่ตรงนั้น ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีความเสี่ยงอะไรมาก ก็แล้วแต่ทุกๆ ธุรกิจมีความเสี่ยงหมด
หนิง - ปณิตา ธรรมวัฒนะ มองว่าภาพรวมการลงทุนในบ้านเราคิดว่าตลาดยังสามารถไปต่อได้ แต่เราต้องดูว่าเราจะลงทุนในเรื่องของอะไร ซึ่งธุรกิจความสวยความงามตอนนี้คิดว่าน่าจะไปได้ดี แต่คงเป็นสัดส่วนที่ไม่ได้ลงทุนใหญ่มาก ส่วนรายได้ปัจจุบันที่เข้ามาแต่ละเดือนไม่ตายตัว บางเดือนก็ได้เยอะ บางเดือนก็ได้น้อย แต่ถ้าได้เงินก้อนใหญ่มาจะเก็บฝาก 50% อีก 50% ไว้เพื่อลงทุน ส่วนรายได้ที่ได้ตรงในแต่ละเดือนก็จะเป็นค่าใช้จ่าย ซี่งตอนนี้หนิงมีทำธุรกิจเพิ่มเกี่ยวกับอาหารเสริม อาจจะไม่ใหญ่มาก และเราก็ไม่เคยเกี่ยงงาน
ส่วนการวางแผนระยะยาวนั้นเราควรจะมีสัดส่วนของการแบ่งออม แบ่งลงทุน เพื่อเป็นการต่อยอดเงินในกระเป๋า เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล มีเงินสด ลงทุนธุรกิจ เพราะค่าเงินทุกวันนี้ก็น้อยลงทุกวันดังนั้นเราควรนำเงินมาต่อยอดจะดีที่สุด แต่ก็ต้องดูถึงความเสี่ยงของการลงทุนด้วย ทั้งนี้ การออมเงินมีประโยชน์อย่างมาก มันจะช่วยเราได้ในยามฉุกเฉิน เพราะคนเราไม่แน่นอน มันอาจจะเกิดภาวะฉุกเฉินกะทันหัน แต่ถ้าจะให้ออมอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องมีการแบ่งเงินออกมาลงทุนบ้าง ถ้าฝากไว้เฉยๆ ค่าเงินก็จะลดลง ข้าวของก็แพงขึ้น
สำหรับการวางแผนให้แก่ลูกสาว แม้ว่า “น้องณิริน-ด.ญ.ปณิริน ธรรมวัฒนะ” จะยังไม่ถึงขวบ แต่เราต้องวางแผนให้เขาตั้งแต่เนิ่นๆ มีการซื้อประกันให้ลูก ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพ อีกส่วนหนึ่งคือการดูสถานที่เรียนให้ลูกว่าจะเรียนที่อเมริกา หรืออังกฤษดี ได้มีการพูดคุยกันบ้าง
“ถ้าจะวางแผนก็คงเป็นเหมือนแม่ทุกคนที่ว่าอยากจะให้เรียนดีๆ ได้เป็นเด็กที่ดี โตขึ้นมาทำประโยชน์ให้ครอบครัว ให้สังคม แต่ว่าจะเป็นลูกแบบไหน หนิงก็รอเขาที่เขาจะเป็น แต่อาจจะมีสร้างให้เขา ดูว่าเขาชอบอะไร อย่างเช่นช่วงนี้ก็มีพาไปเรียนว่ายน้ำเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พัฒนาการเขาจะได้ดี ก็วางแผนไว้ว่าอาจจะให้มีเรียนดนตรี เรียนศิลปะ ถ้าเรียนทั้งภาษา ศิลปะ ดนตรี เด็กก็จะพัฒนาหลายๆ อย่าง แล้วก็ดูเขาว่าเขาชอบอะไร ให้เขาได้ลองหลายๆ อย่าง อันนี้อาจจะเป็นแผนการ ในเรื่องโรงเรียนก็ยังเถียงกันอยู่”
ทิ้งท้ายที่ รัฐศาสตร์ กรสูต หรือเปปเปอร์ อดีตนักร้องวง U.H.T. กล่าวว่า ปัจจุบันผมจัดพอร์ตของผม โดยจะแบ่งออกเป็นการออมระยะยาว ซึ่งเราจะไม่ใช้มันเลย เช่น เมื่อผมได้เงินมา 100 บาท ผมจะหักออก 20% ใช้ในชีวิตประจำวัน 50% เก็บออมระยะยาว ส่วนอีก 30% จะนำมาลงทุน โดยใน 30% จะแบ่งออกเป็น 20% ลงทุนในหุ้น ที่เหลือเป็นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อให้เช่า
สำหรับเทคนิคการออมเงิน เราควรเริ่มต้นสำรวจสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราก่อนว่าอะไรที่จำเป็นและไม่จำเป็น เช่น โทรศัพท์บางคนมีถึงสองเครื่อง หรือติดเคเบิลทีวี ซึ่งบางครั้งเราก็ดูไม่ครบทุกช่องที่มี มันก็เป็นการเปลืองค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ถ้าเราปิดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยตรงนี้ไปเชื่อว่าเราจะมีเงินเหลือเก็บ โดยเราต้องมองรอบๆ ตัวเราก่อน ขณะเดียวกันเราเองก็ต้องยับยั้งชั่งใจด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนมีชุุดกอล์ฟใหม่ หรือรถคันใหม่เราก็อยากได้ตาม แบบนี้ก็ไม่ดี เราต้องเตือนสติตัวเองไว้กับของที่ไม่จำเป็น