นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 5-10 กันยายน 2556 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิด เค ตราสารหนี้ 48 เดือน (KFI48MA) ซึ่งเป็นกองทุนใหม่ที่มีอายุโครงการประมาณ 4 ปี แต่เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยผลตอบแทนประมาณการไว้ที่ 4.05% เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่พร้อมลงทุนได้ในระยะยาว และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ ซึ่งกองทุนดังกล่าวเน้นการลงทุนในหุ้นกู้ชั้นนำของบริษัทในประเทศไทย โดยเบื้องต้นจะลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A-/Fitch), หุ้นกู้ของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A-/TRIS), หุ้นกู้ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A/TRIS), หุ้นกู้ของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A-/TRIS) อีกทั้งมีการลงทุนในหุ้นกู้ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, สาขาฮ่องกง ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Moody’s ที่ระดับ A3 พร้อมทั้งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ซึ่งกองทุนดังกล่าวกำหนดเสนอขายในวันที่ 5-10 กันยายน 2556
“ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 43 เดือน โดยได้มีการปิดการขายก่อนครบกำหนดวัน IPO ซึ่งมีมูลค่ารวมที่เสนอขายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท บลจ.กสิกรไทยจึงมั่นใจว่ากองทุนตราสารหนี้ 48 เดือนจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน เพราะยังมีปริมาณผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งในช่วงนี้สถานการณ์ของตลาดหุ้นขาดเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนยังหวั่นกับเรื่องของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองในซีเรีย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงต่ำ”
“ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 43 เดือน โดยได้มีการปิดการขายก่อนครบกำหนดวัน IPO ซึ่งมีมูลค่ารวมที่เสนอขายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท บลจ.กสิกรไทยจึงมั่นใจว่ากองทุนตราสารหนี้ 48 เดือนจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน เพราะยังมีปริมาณผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งในช่วงนี้สถานการณ์ของตลาดหุ้นขาดเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนยังหวั่นกับเรื่องของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองในซีเรีย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงต่ำ”