หลาย ๆ บลจ.ยังคงประเมินดัชนีหุ้นในช่วงนี้เป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีโอกาสแตะ 1,600 จุด ซึ่งเชื่อว่า Sentiment ตลาดโดยรวมยังดีอยู่ Fund Flow ยังคงเป็นตัวหนุนหลัก และตลาดของไทยโดยรวมยังดูดีกว่าตลาดในภูมิภาค ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นตลาดยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าดัชนี 1,600 เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ แต่ตลาดจะมีความผันผวนสูงและนักลงทุนจะเล่นยากขึ้นในปีนี้ ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายบลจ. ต่าง ออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกันเป็นว่าเล่น แต่อย่างไรก็ตามกองทุนบอนด์ก็ยังคงเป็นที่นิยมของนักลงทุนอยู่บ้างในขณะนี้
เริ่มกันที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด ก่อนหน้านี้ได้ออก กองทุนเปิดธนชาต Smart Fund (T-Smart) ที่เสนอขายครั้งแรกเมื่อ 14-21 มกราคมที่ผ่านมา สามารถคืนกำไรให้ผู้ลงทุน โดยวิธีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเป็นครั้งแรก เป็นเงิน 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือ 5% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก (10 บาท) ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาบริหารกองทุนเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาโอกาสลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีการคืนกำไรเป็นระยะ บลจ.ธนชาต เร่งเสนอขายกองทุนเปิดธนชาต Smart Fund 2 (T-Smart 2) โดยจะเสนอขายครั้งเดียว (IPO) วันนี้ ถึง 22 ก.พ. 2556
สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Smart Fund 2 เป็นการบริหารพอร์ตหุ้นแบบเชิงรุกหรือ Active Style จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากการบริโภคอุปโภคของตลาดในประเทศและความต้องการสินค้าบริการจากตลาดประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศในกลุ่มอาเซียน และคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสาธารณูปโภคของประเทศ นอกจากนั้นแล้วเมื่อกองทุนมีผลการดำเนินงานดี กองทุนจะคืนผลตอบแทนโดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยมีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือ 5% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก (10 บาท)
ด้าน บลจ. กสิกรไทย เสนอขายกองทุนเปิดเค ฟอร์เรน โน้ต 3 เดือน เอ (KFN3MA) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 2.80% ต่อปี พร้อมด้วยกองทุนเปิดเค ฟอร์เรน โน้ต 6 เดือน บี (KFN6MB) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 3.00% ต่อปี ในวันที่ 19-25 กุมภาพันธ์ 2556 โดยทั้ง 2 กองทุนข้างต้นจะเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้กระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากตราสารหนี้ในประเทศตุรกี ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยคัดเลือกมาช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยทรงตัวทั่วโลก
ทั้งนี้ ตราสารหนี้ในประเทศตุรกีเป็นทางเลือกใหม่สำหรับสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยมองว่าเศรษฐกิจตุรกีในภาพรวมยังคงมีเสถียรภาพ โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก แม้ในปีที่ผ่านจะชะลอลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ รายได้ต่อหัวของประชากรก็ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน ทั้งยังมีระบบการเงินการธนาคารที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธนาคารในประเทศตุรกีที่อยู่ที่ประมาณ 16% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้เพียงแค่ 8.50% เท่านั้น
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้เสีย หรือ NPL ของระบบธนาคารก็ยังอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 2.70% โดยอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ที่ระดับ BBB- ส่วนตราสารหนี้ของประเทศตุรกีที่ บลจ. กสิกรไทย เตรียมเข้าไปลงทุนในโดยในเบื้องต้น มีอันดับความน่าเชื่อถือจาก FITCH สูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศตุรกี ประกอบด้วย ตราสารหนี้ของ Garanti Bank ซึ่งเป็นธนาคารเอกชนขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศตุรกีและตราสารหนี้ของ Akbank ซึ่งเป็นธนาคารที่มีอันดับผลกำไรมากที่สุดในตุรกีอันดับ 1 และ 2 ตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนจึงเชื่อมั่นในคุณภาพของตราสาร
ขณะที่ บลจ. กรุงไทย ในสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ในวันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อเป็นทางเลือกให้กลุ่มลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ภายหลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายกองทุนทริกเกอร์ โดยในเดือนนี้สามารถขายได้มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท
ในสัปดาห์นี้ บริษัทจึงเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี74 (KTSUPB74) อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 60%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งประกอบด้วย เงินฝากประจำ Union National Bank, เงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank , ECP ค้ำประกันโดย SBER Bank และMTNออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้/ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ3.00%ต่อปี
นอกจากนี้ยังเพิ่มอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการล็อกผลตอบแทนยาว โดยบริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 31 ( KTFF31 ) อายุ 1 ปี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 87% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบด้วย เงินฝากประจำ Union National Bank, ECP ค้ำประกันโดย SBER Bank, ECP ค้ำประกันโดย VTB Bank, MTN ออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ /ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี
สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรภาครัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงรอปัจจัยใหม่ เช่น แนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.75% และคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงใน 1-3 เดือนข้างหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ประเภท 6 เดือนอยู่ระหว่าง 1.95-2.80% สำหรับธนาคารขนาดเล็กอยู่ที่ประมาณ 2.00-3.30% ซึ่งผลตอบแทนกองทุนของบริษัทมีโอกาสสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและไม่เสียภาษีอีกด้วย
เริ่มกันที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด ก่อนหน้านี้ได้ออก กองทุนเปิดธนชาต Smart Fund (T-Smart) ที่เสนอขายครั้งแรกเมื่อ 14-21 มกราคมที่ผ่านมา สามารถคืนกำไรให้ผู้ลงทุน โดยวิธีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเป็นครั้งแรก เป็นเงิน 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือ 5% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก (10 บาท) ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาบริหารกองทุนเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาโอกาสลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีการคืนกำไรเป็นระยะ บลจ.ธนชาต เร่งเสนอขายกองทุนเปิดธนชาต Smart Fund 2 (T-Smart 2) โดยจะเสนอขายครั้งเดียว (IPO) วันนี้ ถึง 22 ก.พ. 2556
สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Smart Fund 2 เป็นการบริหารพอร์ตหุ้นแบบเชิงรุกหรือ Active Style จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากการบริโภคอุปโภคของตลาดในประเทศและความต้องการสินค้าบริการจากตลาดประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศในกลุ่มอาเซียน และคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสาธารณูปโภคของประเทศ นอกจากนั้นแล้วเมื่อกองทุนมีผลการดำเนินงานดี กองทุนจะคืนผลตอบแทนโดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยมีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือ 5% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก (10 บาท)
ด้าน บลจ. กสิกรไทย เสนอขายกองทุนเปิดเค ฟอร์เรน โน้ต 3 เดือน เอ (KFN3MA) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 2.80% ต่อปี พร้อมด้วยกองทุนเปิดเค ฟอร์เรน โน้ต 6 เดือน บี (KFN6MB) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 3.00% ต่อปี ในวันที่ 19-25 กุมภาพันธ์ 2556 โดยทั้ง 2 กองทุนข้างต้นจะเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้กระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากตราสารหนี้ในประเทศตุรกี ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยคัดเลือกมาช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยทรงตัวทั่วโลก
ทั้งนี้ ตราสารหนี้ในประเทศตุรกีเป็นทางเลือกใหม่สำหรับสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยมองว่าเศรษฐกิจตุรกีในภาพรวมยังคงมีเสถียรภาพ โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก แม้ในปีที่ผ่านจะชะลอลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ รายได้ต่อหัวของประชากรก็ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน ทั้งยังมีระบบการเงินการธนาคารที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธนาคารในประเทศตุรกีที่อยู่ที่ประมาณ 16% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้เพียงแค่ 8.50% เท่านั้น
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้เสีย หรือ NPL ของระบบธนาคารก็ยังอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 2.70% โดยอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ที่ระดับ BBB- ส่วนตราสารหนี้ของประเทศตุรกีที่ บลจ. กสิกรไทย เตรียมเข้าไปลงทุนในโดยในเบื้องต้น มีอันดับความน่าเชื่อถือจาก FITCH สูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศตุรกี ประกอบด้วย ตราสารหนี้ของ Garanti Bank ซึ่งเป็นธนาคารเอกชนขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศตุรกีและตราสารหนี้ของ Akbank ซึ่งเป็นธนาคารที่มีอันดับผลกำไรมากที่สุดในตุรกีอันดับ 1 และ 2 ตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนจึงเชื่อมั่นในคุณภาพของตราสาร
ขณะที่ บลจ. กรุงไทย ในสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ในวันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อเป็นทางเลือกให้กลุ่มลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ภายหลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายกองทุนทริกเกอร์ โดยในเดือนนี้สามารถขายได้มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท
ในสัปดาห์นี้ บริษัทจึงเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี74 (KTSUPB74) อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 60%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งประกอบด้วย เงินฝากประจำ Union National Bank, เงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank , ECP ค้ำประกันโดย SBER Bank และMTNออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้/ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ3.00%ต่อปี
นอกจากนี้ยังเพิ่มอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการล็อกผลตอบแทนยาว โดยบริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 31 ( KTFF31 ) อายุ 1 ปี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 87% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบด้วย เงินฝากประจำ Union National Bank, ECP ค้ำประกันโดย SBER Bank, ECP ค้ำประกันโดย VTB Bank, MTN ออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ /ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี
สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรภาครัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงรอปัจจัยใหม่ เช่น แนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.75% และคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงใน 1-3 เดือนข้างหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ประเภท 6 เดือนอยู่ระหว่าง 1.95-2.80% สำหรับธนาคารขนาดเล็กอยู่ที่ประมาณ 2.00-3.30% ซึ่งผลตอบแทนกองทุนของบริษัทมีโอกาสสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและไม่เสียภาษีอีกด้วย