บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ปลื้มกองทุนไทยทวีทุน 2 ภายใต้การบริหารงานของบลจ.กรุงไทย ใส่เงิน 450 ล้านบาท ขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังผลิตบรรจุภัณฑ์เป็นสองเท่า พร้อมปูทางเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในปี 2559
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดไทยทวีทุน 2 ได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) มูลค่า 470 ล้านบาท โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2,530 ล้านบาท ซึ่งได้มีการลงทุนไปแล้ว 1,900 ล้านบาท ซึ่งบริษัท ไทยพรอสเพอริตี้ แอ็ดไวซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคของกองทุน โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สูงและต่อเนื่องทั้งบริษัทจดทะเบียนในแลนอกตลาดหลักทรัพย์ ที่คาดว่าจะให้ผตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10-15% ต่อปี
ทั้งนี้ การลงทุนในบริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนั้น ทางกองทุนถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี และเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของกองทุน ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิของบริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีความน่าสนใจ มีความสามารถในการพัฒนาธุรกิจอย่างจริงจัง และคาดว่าจะมีการเติบโตสูง เนื่องจากกระแสการอนุรักษ์และใส่ใจสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นกระแสที่ได้รับการตอบรับจากคนทั่วโลก และเราเชื่อว่าการร่วมทุนในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทได้ทั้งในและต่างประเทศ
นายวีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าร่วมทุนระหว่างบริษัทกับกองทุนเปิดไทยทวีทุน 2 ของบลจ.กรุงไทย นั้นเป็นการลงทุนเป็นหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 450 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งจะทำให้บริษัทมียอดขายประมาณ 800-1000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้คาดว่าจะสร้างโรงงานเสร็จพร้อมดำเนินการได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555
สำหรับบริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุอาหารเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไบโอชานอ้อย (BIO) ที่ใช้วัตถุดิบที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ (non-wood fiber) ซึ่งได้แก่ เยื่อชานอ้อย โดยกระบวนการผลิตที่เน้นคุณภาพ ความสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 70 แบบ
ในส่วนของผลกระประกอบการของบริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 40% ต่อปี โดยปี 2554 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากกระแสการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้มที่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ต่างๆที่ต้องการผลิตจากวัตถุดิบที่สะอาดปลอดภัยและมีมาตรฐาน ทำให้ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ของบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากตลาดในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 70% ของยอดขาย
นายวีรฉัตร กล่าวต่อว่า การเติบโตที่ต่องเนื่อง ทำให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมไปถึงแผนการเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2559 ดังนั้นการได้รับโอกาสจากกองทุนเปิดไทยทวีทุน 2 ถือเป็นการการันตีถึงประสิทธิภาพ ความสามารถและความตั้งใจของบริษัทในการสร้างสรรค์และการพัฒนาเพื่อให้บริษัทมีการเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่งต่อไปในอนาคต
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอสแซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของบริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การร่วมทุนในครั้งนี้ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสนับสนุนบริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมทำให้มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มกำลังการผลิตที่จะทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว และที่สำคัญจะเป็นปัจจัยที่แสดงถึงศักยภาพของบริษัทในการดำเนินการ รวมไปถึงโอกาสในการระดมทุนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุน หรือการเสอนขายหุ้น IPO เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้
อย่างไรก็ตามกองทุนเปิดไทยทวีทุน 2 ถือเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่จัดตั้งโดยสถาบันทางการเงิน องค์กรขนาดใหญ่ เข้ามาร่วมทุน ทั้งนี้เราเชื่อว่าการร่วมทุนครั้งนี้ทั้งบริษัทและกองทุนจะได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายเนื่องจากบริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม มีศักยภาพในการเติบโตสูงโดยเฉพาะในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโตเฉลี่ย 40% และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของกองทุนเปิดไทยทวีทุน 2