xs
xsm
sm
md
lg

กรุงศรีฟันด์ตั้งเป้าAUMอันดับ5 คาดประชานิยมดันเงินเฟ้อพุ่ง7%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฉัตรพี ตันติเฉลิม
กรุงศรีฟันด์ ตั้งเป้าดันสินทรัพย์สิ้นปีเป็น 1.1 แสนล้านบาท พร้อมวางเกมระยะยาว ก้าวขึ้นแท่นอันดับ 5 “ประภาส” แนะจับตาเงินเฟ้อพุ่งไปถึง 7-10% จากนโยบายเพิ่มรายได้รัฐบาลใหม่ ส่วนทิศทางหุ้นไทย ยังไปได้ต่อ คงดัชนี 1,200 จุด

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด (กรุงศรีฟันด์) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้บริหาร (AUM) อยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท โดยในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาเป็น 96,980 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่มีสินทรัพย์อยู่ที่ 88,947 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตแล้วประมาณ 9%

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังแผนที่จะออกกองทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนประเภทเทอมฟันด์ที่ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังสนใจออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วย เนื่องจากมองว่าเป็นจังหวะที่ดีที่ราคาหุ้นหลายตลาดปรับตัวลงมา ซึ่งคงต้องดูอีกครั้งว่า เราจะหาโอกาสจากจังหวะนี้ได้อย่างไร

นายฉัตรพีกล่าวว่า ในช่วงต่อจากนี้ไป ภายหลังจากการปรับภาพลักษณ์ เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นกรุงศรีฟันด์แล้ว เราเองก็มีแผนจะพัฒนาเพิ่มอีก 4 ด้านด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย การบริการ การเข้าถึงของลูกค้าที่ง่ายขึ้น ระบบไอที และการสื่อสารให้ลูกค้าภายใต้แบรนด์กรุงศรีกรุ๊ป

“เราเองมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มสินทรัพย์ให้ขึ้นไปอยู่ในอันดับ 5 ของอุตสาหกรรมตามอันดับของแบงก์แม่ ซึ่งการจะขึ้นไประดับนั้นได้ คงต้องมีมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 2 แสนล้านบาท”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว

 จับตาเงินเฟ้อพุ่ง7-10%

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวถึงภาวะการลงทุนในช่วงต่อจากนี้ไปว่า ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองมองว่าจะยังสามารถไปต่อได้ โดยยังคงเป้าหมายว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,200 -1,250 จุดได้ หรือปรับขึ้นจากระดับดัชนีปัจจุบันประมาณ 20% อย่างไรก็ตามความเสี่ยงสำคัญยังอยู่ที่ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปด้วย

ทั้งนี้ มองว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่เอง จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีสภาพคล่องหมุนเวียนในการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการลงทุน การชำระหนี้ รวมถึงสามารถจ่ายเงินปันผลได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม มาตรการเพิ่มรายได้ของรัฐบาลเองมองว่าแม้จะมีส่วนต่อการเพิ่มขึ้นของจีดีพี แต่ก็จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศด้วยเช่นกัน โดยมองว่าเงินเฟ้อที่ระดับ 5% คงไม่ใช่ตัวเลขที่พูดถึงแล้ว แต่อาจจะเห็นเงินเฟ้อขยับเพิ่มขึ้นไปถึง 7-10% ได้

ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจต่างประเทศ นายประภาส กล่าวว่า ในส่วนของสหรัฐอเมริกานั้น นักลงทุนทั่วโลกยังเป็นห่วง เพราะยังมีปัญหาที่แก้ไขยาก เช่นเดียวกับยุโรปเอง ที่แม้จะมีการแก้ปัญหาไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังจะมีให้เห็นอีกต่อเนื่องหลังจากนี้ โดยมองว่าหลังจากนี้อีก 2 ปี นั่นคือ ปี 2012 และปี 2013 เศรษฐกิจของทั้งสหรัฐและยุโรปเอง จะยังไม่ดีขึ้นมากนัก

ส่วนแนวโน้มราคาทองหลังจากนี้ มองว่าอีกประมาณ 2-3 เดือน ราคาอาจจะปรับฐานลงมาประมาณ 50-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากหากการซื้อขายในตลาดฟิวเจอร์มีการปรับระดับเงินวางประกันลง เนื่องจากราคาทองปรับขึ้นไปสูงมาก ก็อาจจะทำให้ราคาทองปรับลงมาได้ ซึ่งขณะนี้มีการจับตาดูประเด็นนี้อยู่เช่นกัน
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น