เมืองไทยประกันภัยมั่นใจกวาดเบี้ยทั้งปีตามเป้า 5.4 พันล้านบาท พร้อมเร่งขยายฐานลูกค้า บริการบนระบบออนไลน์มากขึ้น ระบุกำไรจากการลงทุนปีนี้อาจไม่หวือหวา เหตุหุ้นไทยไม่คึกเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เชื่อยิลด์ยังดีแตะ 4-5% จากดอกเบี้ย และเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีกำไรเพิ่มกว่า 47% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือMTI เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากตามธรรมชาติของธุรกิจประกันภัยที่จะมีเม็ดเงินเข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้น โดยบริษัทยังคงเน้นการทำรายได้จากการรับประกันภัยเป็นหลัก และคาดว่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมของปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 5,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในด้านของการขยายช่องทางการขายนั้น บริษัทได้เพิ่มช่องทางการขายผ่านเว็บไซด์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์หรือประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA)
ด้านผลิตภัณฑ์บริษัทได้มีการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันให้มากที่สุด พร้อมตรงกับความต้องการของลูกค้า ด้วยโครงการ Single rate ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ราคาเดียวภายใต้ชื่อ Smile Pick Up เน้นการทำตลาดแบบ Segmentation โดยเริ่มรถยนต์รุ่นยอดนิยม และมี Loss Ratio ต่ำ โดยเฉพาะรถยนต์ปีที่ 2 ขึ้นไป เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารจัดการพอร์ตรถยนต์ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนด้านการให้บริการลูกค้า บริษัทเตรียมเปิดสาขาย่อยเพิ่มเติมอีก 6 สาขา ได้แก่ สมุทรสงคราม,เชียงราย,สกลนคร,นครศรีธรรมราช,สุราษฎร์ธานี และสระบุรี เพื่อให้บริการลูกค้าในต่างจังหวัดได้ดียิ่งขึ้น
นางนวลพรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปีคงจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่แล้ว โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถทำกำไรได้ถึง 20% จาก Capital gain ของการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์สนับสนุนให้ดัชนีหุ้นไทยแตะระดับเกิน1,000 จุด และเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5% เนื่องจากคาดว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีกำไรออกมาในระดับที่ดี และสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นผลดีกับการลงทุนในตราสารหนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงสัดส่วนการลงทุนในระดับเดิมโดยแบ่งเป็น ลงทุนในตราสารทุน 27% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 49% ลงทุนในเงินฝาก 24% แม้ว่าสถานการณ์การลงทุนจะมีการปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างมากก็ตาม
นางนวลพรรณ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีผลประกอบการกำไรสุทธิ 248.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปี 53 โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372 ล้านบาท หรือคิดเป็น16.1% จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างมากของเบี้ยประกันภัยประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคล(PA) ผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 127 ล้านบาทหรือคิดเป็น 7.4%
โดยบริษัทมีรายได้และผลกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์รวม 197.39 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว143.7% และมีกำไรจากการรับประกันภัย 159.28 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 60.9%
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือMTI เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากตามธรรมชาติของธุรกิจประกันภัยที่จะมีเม็ดเงินเข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้น โดยบริษัทยังคงเน้นการทำรายได้จากการรับประกันภัยเป็นหลัก และคาดว่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมของปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 5,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในด้านของการขยายช่องทางการขายนั้น บริษัทได้เพิ่มช่องทางการขายผ่านเว็บไซด์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์หรือประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA)
ด้านผลิตภัณฑ์บริษัทได้มีการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันให้มากที่สุด พร้อมตรงกับความต้องการของลูกค้า ด้วยโครงการ Single rate ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ราคาเดียวภายใต้ชื่อ Smile Pick Up เน้นการทำตลาดแบบ Segmentation โดยเริ่มรถยนต์รุ่นยอดนิยม และมี Loss Ratio ต่ำ โดยเฉพาะรถยนต์ปีที่ 2 ขึ้นไป เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารจัดการพอร์ตรถยนต์ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนด้านการให้บริการลูกค้า บริษัทเตรียมเปิดสาขาย่อยเพิ่มเติมอีก 6 สาขา ได้แก่ สมุทรสงคราม,เชียงราย,สกลนคร,นครศรีธรรมราช,สุราษฎร์ธานี และสระบุรี เพื่อให้บริการลูกค้าในต่างจังหวัดได้ดียิ่งขึ้น
นางนวลพรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปีคงจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่แล้ว โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถทำกำไรได้ถึง 20% จาก Capital gain ของการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์สนับสนุนให้ดัชนีหุ้นไทยแตะระดับเกิน1,000 จุด และเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5% เนื่องจากคาดว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีกำไรออกมาในระดับที่ดี และสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นผลดีกับการลงทุนในตราสารหนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงสัดส่วนการลงทุนในระดับเดิมโดยแบ่งเป็น ลงทุนในตราสารทุน 27% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 49% ลงทุนในเงินฝาก 24% แม้ว่าสถานการณ์การลงทุนจะมีการปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างมากก็ตาม
นางนวลพรรณ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีผลประกอบการกำไรสุทธิ 248.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปี 53 โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372 ล้านบาท หรือคิดเป็น16.1% จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างมากของเบี้ยประกันภัยประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคล(PA) ผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 127 ล้านบาทหรือคิดเป็น 7.4%
โดยบริษัทมีรายได้และผลกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์รวม 197.39 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว143.7% และมีกำไรจากการรับประกันภัย 159.28 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 60.9%
