ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้จี้รัฐใช้เงินกู้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ถูกทาง หวั่้นรั่วไหลจากการทุจริตและการขาดวินัยทางการเงินจนประเทศถังแตก ย้ำชัดระดับหนี้สาธารณะปัจจุบันยังไม่น่าห่วง แม้ยอดเพิ่มขึ้นแตะระดับ 40% ก็ตาม
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า การที่หลายฝ่ายเริ่มหันมากังวลเรื่องของระดับหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับ อัตราการขายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี.ของประเทศนั้นในความเป็นจริงปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะถึงแม้จะจะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับเพียงแค่ประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ของจีดีพี. ซึ่งยังเป็นระดับที่สามารถรับได้ เนื่องจากตามหลักทั่วไปแล้วหนี้สาธารณะของประเทศต่อจีดีพี.จะต้องไม่ควรเกิน 60เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี. ทำให้ตัวเลขในระดับนี้ไม่ห่วงมากนัก
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นของหนี้สามธารณะในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และหนีไม่พ้น แม้วแม้ว่าเงินที่รัฐบาลกู้เข้ามาจะเป็นภาระในอนาคต แต่เนื่องจากมีความจำเป็นในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจจะจำเป็นต้องกู้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูความเหมาะสมของระดับที่จะกู้ และต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาในการที่จะใช้คืนในอนาคต โดยหากมีการเตรียมการที่ดีและมีวินัยเพียงพอก็น่าจะพอรับได้จากการก่อหนี้ดังกล่าว
"ภาครัฐจำเป็นที่จะต้องดูแลบริหารจัดการวินัยทางการเงินการคลังให้ดีในการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมในทุกๆ โครงการรวมถึงเรื่องการวางแผนชำระหนี้และการป้องกันการทุจริตรั่วไหลของเงินอีกด้วย"นายณัฐพลกล่าว
นอกจากนี้ นายณัฐพล ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากฝากให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องระมัดระวังก็คือ หนี้เงินกู้ที่เกิดขึ้นควรที่จะต้องนำไปใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด นั่นคือสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้จริง เพราะหากนำเงินไปใช้แล้วไม่สามารถที่จะกระตุ้นได้จริง หรือกระตุ้นได้เพียงชั่ววูบหรือชั่วครั้งชั่วคราวอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมในการไถ่ถอนพันธบัตรที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้
“แต่ถ้าใช้เงินกู้ไปไม่ถูกที่ไม่ถูกจุด เศรษฐกิจไม่กระเตื้อง หรือกระเตื้องแค่วูบเดียว การจัดเก็บภาษีรายได้ที่คาดหวัง และการหมุนเวียนของเงินก็จะไม่เกิด แถมหากมีการรั่วไหล หรือมีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างที่สังคมเป็นห่วง ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นข้อควรระวังที่รัฐบาลจะต้องเข้มงวดให้มากๆ”นายณัฐพลกล่าว
ทั้งนี้ การกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ภาครัฐหวังว่าเมื่อใช้เงินไปแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้น เศรษฐกิจจะขยายตัว เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวและเติบโต กระทรวงการคลังก็สามารถที่เก็บภาษีได้มากขึ้น ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบมากขึ้น สามารถเพิ่มการหมุนเวียนของเงินหรือ Multiplier effect ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นประการสำคัญในการก่อหนี้สาธารณะในครั้งนี้
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า การที่หลายฝ่ายเริ่มหันมากังวลเรื่องของระดับหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับ อัตราการขายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี.ของประเทศนั้นในความเป็นจริงปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะถึงแม้จะจะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับเพียงแค่ประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ของจีดีพี. ซึ่งยังเป็นระดับที่สามารถรับได้ เนื่องจากตามหลักทั่วไปแล้วหนี้สาธารณะของประเทศต่อจีดีพี.จะต้องไม่ควรเกิน 60เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี. ทำให้ตัวเลขในระดับนี้ไม่ห่วงมากนัก
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นของหนี้สามธารณะในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และหนีไม่พ้น แม้วแม้ว่าเงินที่รัฐบาลกู้เข้ามาจะเป็นภาระในอนาคต แต่เนื่องจากมีความจำเป็นในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจจะจำเป็นต้องกู้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูความเหมาะสมของระดับที่จะกู้ และต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาในการที่จะใช้คืนในอนาคต โดยหากมีการเตรียมการที่ดีและมีวินัยเพียงพอก็น่าจะพอรับได้จากการก่อหนี้ดังกล่าว
"ภาครัฐจำเป็นที่จะต้องดูแลบริหารจัดการวินัยทางการเงินการคลังให้ดีในการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมในทุกๆ โครงการรวมถึงเรื่องการวางแผนชำระหนี้และการป้องกันการทุจริตรั่วไหลของเงินอีกด้วย"นายณัฐพลกล่าว
นอกจากนี้ นายณัฐพล ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากฝากให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องระมัดระวังก็คือ หนี้เงินกู้ที่เกิดขึ้นควรที่จะต้องนำไปใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด นั่นคือสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้จริง เพราะหากนำเงินไปใช้แล้วไม่สามารถที่จะกระตุ้นได้จริง หรือกระตุ้นได้เพียงชั่ววูบหรือชั่วครั้งชั่วคราวอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมในการไถ่ถอนพันธบัตรที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้
“แต่ถ้าใช้เงินกู้ไปไม่ถูกที่ไม่ถูกจุด เศรษฐกิจไม่กระเตื้อง หรือกระเตื้องแค่วูบเดียว การจัดเก็บภาษีรายได้ที่คาดหวัง และการหมุนเวียนของเงินก็จะไม่เกิด แถมหากมีการรั่วไหล หรือมีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างที่สังคมเป็นห่วง ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นข้อควรระวังที่รัฐบาลจะต้องเข้มงวดให้มากๆ”นายณัฐพลกล่าว
ทั้งนี้ การกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ภาครัฐหวังว่าเมื่อใช้เงินไปแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้น เศรษฐกิจจะขยายตัว เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวและเติบโต กระทรวงการคลังก็สามารถที่เก็บภาษีได้มากขึ้น ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบมากขึ้น สามารถเพิ่มการหมุนเวียนของเงินหรือ Multiplier effect ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นประการสำคัญในการก่อหนี้สาธารณะในครั้งนี้
