บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา ไฟเขียวขายโรงแรมและระบบสาธารณูปโภค ให้กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ซึ่งอยู่ระหว่างการขอจัดตั้งจากก.ล.ต. เบื้องต้นคิดเป็นมูลค่ารวมเฉียด 2 พันล้านบาท ลงทุนนาน 30 ปี พร้อมรับทราบเรื่องกองทุนฯ เช่าที่ดินบริษัทลูกนาน 30 ปี ขณะเดียวกันยังชงเรื่องซื้อ "เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท สมุย" จากกองทุนรวมไทยพัฒนา 1
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติพิจารณาอนุมัติรายการจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินของบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CENTEL ถือหุ้นอยู่ 99.99% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ให้แก่กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจัดตั้ง
โดยบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด จะขายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานของโรงแรมให้กับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ในราคา 80 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้พิจารณาอนุมัติให้กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เช่าอาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูป โภค ซึ่งทรัพย์สินที่ให้เช่า คือ อาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภค มูลค่า 1,820 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณารับทราบการพิจารณาอนุมัติของบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด ในการให้กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเช่าที่ดิน ในโฉนดเลขที่ 12430 12431 และ 12432 รวมเป็นเนื้อที่ 25-1-4.7 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ 38/2 หมู่ 3 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่า 1,500 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 ปี
นายรณชิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาอนุมัติการซื้ออาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคจากกองทุนรวมไทยพัฒนา 1 ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เป็นบริษัทจัดการของกองทุน ซึงสินทรัพย์ที่บริษัทจะซื้อในครั้งนี้คืออาคารโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท สมุย มูลค่า 1,700 ล้านบาท โดยในการนี้ คณะกรรมการได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารหรือบุค คลอื่นที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารเข้าเจรจาทำความตกลงและลงนามในเอกสารและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการอื่นใดอันจำเป็นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเข้าเจรจา และทำความตกลงเกี่ยวกับการซื้ออาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคจากกองทุนรวมไทยพัฒนา 1 ดังกล่าว
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวไว้ว่า แผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทเตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 3,000 - 4,000 ล้านบาท โดยจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างจังหวัด ซึ่งการที่บริษัทนำสินทรัพย์ประเภทโรงแรมของบริษัทมาจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุน เนื่องจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประเภทธุรกิจโรงแรม ถือเป็นเครื่องมือในการระดมอีกอย่างหนึ่งในแก่นักลงทุนนอกเหนือจากการเพิ่มทุน โดยบริษัทจะเข้าไปลงทุนในโรงแรมใดโรงแรมหนึ่งที่มีผลการดำเนินงานที่ดี เพื่อที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนในอนาคต
"ส่วนของผู้จัดการกองทุนที่จะเข้ามาดูแลบริหารกองทุนนั้น บริษัทได้ทำการคัดเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่จะมาเป็นผู้จัดการกองทุนได้เรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็น บลจ.ใด" แหล่งข่าว กล่าว
มีแนวโน้มปิดกองอสังหาฯก่อนกำหนด
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ไทย) จํากัด เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์อาจมีแนวโน้มต้องขอปิดกองก่อนกำหนด เนื่องจากยังไม่ได้ความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร ส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวลดลงหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุน ก่อนหน้านี้ บลจ.ยูโอบี ประกาศปิดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี อะพาร์ทเมนท์ หนึ่ง (UOBAPF)ก่อนกำหนด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขายสินทรัพย์ ก่อนจะขอถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหน่วยในกระดานต่ำกว่ามูลค่า (NAV) ที่แท้จริง ถึงแม้ว่ากองทุนนี้จะให้ผลตอบแทนแกผู้ถือหน่วยประมาณ 5% ต่อปี
นายวนา กล่าวว่า ในอนาคตสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) น่าจะมีแนวทางในการกระตุ้นความสนใจของนักลงทุน และทำให้กองทุนอสังหาฯเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะถือว่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ต้องขึ้นกับสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนด้วย
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติพิจารณาอนุมัติรายการจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินของบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CENTEL ถือหุ้นอยู่ 99.99% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ให้แก่กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจัดตั้ง
โดยบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด จะขายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานของโรงแรมให้กับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ในราคา 80 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้พิจารณาอนุมัติให้กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เช่าอาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูป โภค ซึ่งทรัพย์สินที่ให้เช่า คือ อาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภค มูลค่า 1,820 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณารับทราบการพิจารณาอนุมัติของบริษัท เซ็นทรัลสมุยบีชรีสอร์ท จำกัด ในการให้กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเช่าที่ดิน ในโฉนดเลขที่ 12430 12431 และ 12432 รวมเป็นเนื้อที่ 25-1-4.7 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ 38/2 หมู่ 3 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่า 1,500 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 ปี
นายรณชิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาอนุมัติการซื้ออาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคจากกองทุนรวมไทยพัฒนา 1 ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เป็นบริษัทจัดการของกองทุน ซึงสินทรัพย์ที่บริษัทจะซื้อในครั้งนี้คืออาคารโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท สมุย มูลค่า 1,700 ล้านบาท โดยในการนี้ คณะกรรมการได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารหรือบุค คลอื่นที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารเข้าเจรจาทำความตกลงและลงนามในเอกสารและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการอื่นใดอันจำเป็นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเข้าเจรจา และทำความตกลงเกี่ยวกับการซื้ออาคารประเภทโรงแรมและระบบสาธารณูปโภคจากกองทุนรวมไทยพัฒนา 1 ดังกล่าว
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวไว้ว่า แผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทเตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 3,000 - 4,000 ล้านบาท โดยจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างจังหวัด ซึ่งการที่บริษัทนำสินทรัพย์ประเภทโรงแรมของบริษัทมาจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุน เนื่องจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประเภทธุรกิจโรงแรม ถือเป็นเครื่องมือในการระดมอีกอย่างหนึ่งในแก่นักลงทุนนอกเหนือจากการเพิ่มทุน โดยบริษัทจะเข้าไปลงทุนในโรงแรมใดโรงแรมหนึ่งที่มีผลการดำเนินงานที่ดี เพื่อที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนในอนาคต
"ส่วนของผู้จัดการกองทุนที่จะเข้ามาดูแลบริหารกองทุนนั้น บริษัทได้ทำการคัดเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่จะมาเป็นผู้จัดการกองทุนได้เรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็น บลจ.ใด" แหล่งข่าว กล่าว
มีแนวโน้มปิดกองอสังหาฯก่อนกำหนด
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ไทย) จํากัด เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์อาจมีแนวโน้มต้องขอปิดกองก่อนกำหนด เนื่องจากยังไม่ได้ความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร ส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวลดลงหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุน ก่อนหน้านี้ บลจ.ยูโอบี ประกาศปิดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี อะพาร์ทเมนท์ หนึ่ง (UOBAPF)ก่อนกำหนด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขายสินทรัพย์ ก่อนจะขอถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหน่วยในกระดานต่ำกว่ามูลค่า (NAV) ที่แท้จริง ถึงแม้ว่ากองทุนนี้จะให้ผลตอบแทนแกผู้ถือหน่วยประมาณ 5% ต่อปี
นายวนา กล่าวว่า ในอนาคตสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) น่าจะมีแนวทางในการกระตุ้นความสนใจของนักลงทุน และทำให้กองทุนอสังหาฯเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะถือว่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ต้องขึ้นกับสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนด้วย