บลจ.เอ็มเอฟซี มองแนวโน้มปี 51 หลายปัจจัยคลี่คลาย ผลักดันจีดีพีและการลงทุนขยายตัวเพิ่ม แม้ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ เตรียมกระจายความเสี่ยงในการลงทุนประภทต่างๆมากขึ้น “พิชิต”ชี้กองทุนเอฟไอเอฟ และพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ จะเป็น 2 กองหลักที่นักลงทุนสนใจ พร้อมคาดออกกองทุนอสังหาฯ 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า
นายพิชิต อัครทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดกรกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2551 ว่าวิธีคิดและวิธีการทำธุรกิจจะแตกต่างจากปีนี้ เพราะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อการเมืองมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว จะช่วยผลักดันให้ จีดีพี มีการขยายตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสในการทำธุรกิจ แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่
ขณะเดียวกัน การลงทุนจากต่างชาติเติบโตมากขึ้นกว่าปีนี้ ทั้งในด้านการลงทุนโดยตรง หรือการลงทุนผ่านหุ้นและกองทุน นอกจากนี้คาดหวังว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งชะลอตัวลงไปในปีนี้จากข้อจำกัด ในด้านการลงทุน โดยคาดว่าจะมีการระดมทุนจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
“นักลงทุนต่างชาติ ยังมีความกังวลในปัญหาการเงิน แต่ก็มีความสนใจในการลงทุนในประเทศเทศ ขณะเดียวกันก็ยังมีความวิตกในเรื่องของกฏเกณฑ์ทางภาครัฐ ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนไปมา จนทำให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมไม่ได้”
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ เอ็มเอฟซี คาดว่าในปีหน้าการลงทุนในหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จะมีบรรยากาศที่ดีขึ้นเช่น หลังจากที่ปีนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากความไม่แน่นอน และความไม่มั่นใจ ในนโยบายภาครัฐ และปัจจัยลบต่างๆ
“ปีหน้า 1 ใน 2 ปัจจัยลบจะหมดไป เพราะเราจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สิ่งที่น่าสนใจคือมาตราการป้องกันความผันผวนจากการแลกเปลี่ยนที่เชื่อว่าจะดีขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งทำให้การลงทุนในภาคเอกชนลดลง ดังนั้นจึงคอยดูว่าผู้ทีกำกับกฏเกณฑ์จะมีการออกฏเกณฑ์คมเพียงใด”
ส่วนที่มีหลายคนกังวลว่าอาจไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นนั้น นายพิชิต กล่าวว่า หากไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมันของผู้ลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นอย่าสงแน่นอน ดังนั้นผู้รับผิดชอบของบ้านเมือง จะต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบให้มากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบลจ.เอ็มเอฟซี ในปี 2551 นั้น บริษัทมีแผนที่จะกระจายความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ในประเทศ ในปีหน้าถือว่าไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนที่ดี
ทั้งนี้ บลจ.เอเมเอฟซี เชื่อว่า กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นกองทุนที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แม้ว่าการลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟที่ผ่านมา ยังอยู่ภายใต้การควบคุมและกฏเกณฑ์ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลกำกับ
“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าคาดว่าจะมีการจัดตั้งมากขึ้น โดยในส่วนของ MFC เอง เรามีแนวคิดที่จะออกกองทุนดังกล่าวเช่นกัน โดยคาดว่าน่าจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท เพราะกองทุนประเภทนี้มีผลตอบแทนแบบเสถียรภาพ ซึ่งเหมาะแก่การลงทุในระยะยาว”นายพิชิต กล่าว
นายพิชิต กล่าวว่า การลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ทั้งทองคำ และสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่เป็นพลังงานทดแทน นั้นต้องยอมรับได้รับความสนใจมากในปีนี้ เช่นเดียวกับ การลงทุนในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ในประเทศกลุ่มบริค ได้แก่ บราซิล รัสเซีย จีน และอินเดีย โดยประเมินว่าปีหน้าการลงทุนในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ยังมีการเติบโตสูง
ขณะที่การลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมสำรองเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่า ส่วนใหญ่พนักงานที่ขายหน่วยลงทุนยังแนะนำลูกค้าในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากไป ซึ่งควรที่จะชี้แจงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนมากกว่า โดยปัจจุบันผลตอบแทนการลงทุนในแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ ของบริษัทอยู่ทีประมาณ 30-40%
นอกจากนี้ บลจ.เอ็มเอฟซี มีแนวคิดที่จะผลักดันในเรื่องวิธีการลงทุน โดยเฉพาะการหาวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่ในกองทุนประเภทต่างๆให้มีให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ด้วยการบริหารการจัดการแบบใหม่ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด (ค่าแอลฟา) ซึ่งได้รับความสนใจมากในต่างประเทศ และจะทำให้งานของผู้จัดการกองทุนปรับเปลี่ยนไป ด้วยการบริหารองค์ประกอบของพอร์ตลงทุนมากขึ้น ที่แทนจะมุ่งบริหารเฉพาะแต่กองทุน หรือบริหารจัดการกองทุนของกองทุนนั่นเอง
นายพิชิต อัครทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดกรกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2551 ว่าวิธีคิดและวิธีการทำธุรกิจจะแตกต่างจากปีนี้ เพราะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อการเมืองมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว จะช่วยผลักดันให้ จีดีพี มีการขยายตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสในการทำธุรกิจ แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่
ขณะเดียวกัน การลงทุนจากต่างชาติเติบโตมากขึ้นกว่าปีนี้ ทั้งในด้านการลงทุนโดยตรง หรือการลงทุนผ่านหุ้นและกองทุน นอกจากนี้คาดหวังว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งชะลอตัวลงไปในปีนี้จากข้อจำกัด ในด้านการลงทุน โดยคาดว่าจะมีการระดมทุนจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
“นักลงทุนต่างชาติ ยังมีความกังวลในปัญหาการเงิน แต่ก็มีความสนใจในการลงทุนในประเทศเทศ ขณะเดียวกันก็ยังมีความวิตกในเรื่องของกฏเกณฑ์ทางภาครัฐ ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนไปมา จนทำให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมไม่ได้”
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ เอ็มเอฟซี คาดว่าในปีหน้าการลงทุนในหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จะมีบรรยากาศที่ดีขึ้นเช่น หลังจากที่ปีนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากความไม่แน่นอน และความไม่มั่นใจ ในนโยบายภาครัฐ และปัจจัยลบต่างๆ
“ปีหน้า 1 ใน 2 ปัจจัยลบจะหมดไป เพราะเราจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สิ่งที่น่าสนใจคือมาตราการป้องกันความผันผวนจากการแลกเปลี่ยนที่เชื่อว่าจะดีขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งทำให้การลงทุนในภาคเอกชนลดลง ดังนั้นจึงคอยดูว่าผู้ทีกำกับกฏเกณฑ์จะมีการออกฏเกณฑ์คมเพียงใด”
ส่วนที่มีหลายคนกังวลว่าอาจไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นนั้น นายพิชิต กล่าวว่า หากไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมันของผู้ลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นอย่าสงแน่นอน ดังนั้นผู้รับผิดชอบของบ้านเมือง จะต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบให้มากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบลจ.เอ็มเอฟซี ในปี 2551 นั้น บริษัทมีแผนที่จะกระจายความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ในประเทศ ในปีหน้าถือว่าไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนที่ดี
ทั้งนี้ บลจ.เอเมเอฟซี เชื่อว่า กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นกองทุนที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แม้ว่าการลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟที่ผ่านมา ยังอยู่ภายใต้การควบคุมและกฏเกณฑ์ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลกำกับ
“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าคาดว่าจะมีการจัดตั้งมากขึ้น โดยในส่วนของ MFC เอง เรามีแนวคิดที่จะออกกองทุนดังกล่าวเช่นกัน โดยคาดว่าน่าจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท เพราะกองทุนประเภทนี้มีผลตอบแทนแบบเสถียรภาพ ซึ่งเหมาะแก่การลงทุในระยะยาว”นายพิชิต กล่าว
นายพิชิต กล่าวว่า การลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ทั้งทองคำ และสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่เป็นพลังงานทดแทน นั้นต้องยอมรับได้รับความสนใจมากในปีนี้ เช่นเดียวกับ การลงทุนในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ในประเทศกลุ่มบริค ได้แก่ บราซิล รัสเซีย จีน และอินเดีย โดยประเมินว่าปีหน้าการลงทุนในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ยังมีการเติบโตสูง
ขณะที่การลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมสำรองเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่า ส่วนใหญ่พนักงานที่ขายหน่วยลงทุนยังแนะนำลูกค้าในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากไป ซึ่งควรที่จะชี้แจงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนมากกว่า โดยปัจจุบันผลตอบแทนการลงทุนในแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ ของบริษัทอยู่ทีประมาณ 30-40%
นอกจากนี้ บลจ.เอ็มเอฟซี มีแนวคิดที่จะผลักดันในเรื่องวิธีการลงทุน โดยเฉพาะการหาวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่ในกองทุนประเภทต่างๆให้มีให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ด้วยการบริหารการจัดการแบบใหม่ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด (ค่าแอลฟา) ซึ่งได้รับความสนใจมากในต่างประเทศ และจะทำให้งานของผู้จัดการกองทุนปรับเปลี่ยนไป ด้วยการบริหารองค์ประกอบของพอร์ตลงทุนมากขึ้น ที่แทนจะมุ่งบริหารเฉพาะแต่กองทุน หรือบริหารจัดการกองทุนของกองทุนนั่นเอง