xs
xsm
sm
md
lg

ทุนต่างชาติคิดหนัก'อยู่'หรือ'ถอย'ตลาดเกิดใหม่ เหตุศก.สหรัฐฯส่อถดถอยกว่าที่คาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - พวกนักลงทุนต่างชาติที่ถือหลักทรัพย์ของบรรดาตลาดเกิดใหม่ เคยทำอะไรตามใจแบบไม่ต้องคิดอะไรมากตลอดช่วงแห่งความปั่นป่วนผันผวนที่ผ่านมาของปีนี้ มาบัดนี้พวกเขากำลังต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเทขายเพื่อเก็บเงินสดเข้าพกเข้าห่อให้ปลอดภัย หรือจะยังรอคอยต่อไปก่อน ท่ามกลางสัญญาณต่างๆ ซึ่งส่อแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะประสบภาวะถดถอยย่ำแย่สาหัสกว่าที่คาดคิดกันไว้ในตอนแรก

ข้อเขียนเสียงวิจารณ์ซึ่งเคยแสดงความเชื่อมั่นในความยืดหยุ่นตัวของตลาดเกิดใหม่ ว่าจะสามารถยืนต้านภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯได้ กำลังถูกแทนที่ด้วยข้อเขียนเสียงวิจารณ์ซึ่งหงุดหงิดแสดงความกังขากับสิ่งที่เรียกว่า "ทฤษฎีแยกคู่" (decoupling theory) แถมในช่วงเดือนพฤศจิกายนยังได้เห็นหลักทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่ลดฮวบไป 15% หลังจากที่ทะยานขึ้น 45% ตั้งแต่ต้นปีมา

มีนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมากทีเดียวเชื่อใน "ทฤษฎีแยกคู่" ซึ่งบอกว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกกำลังถูกชี้นำโดยพวกตลาดเกิดใหม่มากขึ้นทุกที และดังนั้นตลาดเกิดใหม่ก็จะไม่ถึงกับถูกกระทบกระเทือนย่ำแย่ แม้เมื่อสหรัฐฯจมลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเต็มตัว พวกที่เชื่อทฤษฎีนี้มองว่า มหาอำนาจของพวกตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีจีนและอินเดียเป็นตัวชูโรง จะยังสามารถยืนโต้กระแสและผงาดขึ้นได้ค่อนข้างดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ทำท่าจะถึงช่วงเวลาแห่งการทดสอบขึ้นมา พวกนักลงทุนผู้ระแวงระวังก็แสดงอาการไม่ปรารถนาที่จะทดลองทฤษฎีนี้ให้ถึงที่สุด

ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ของ เอ็มเอสซีไอ จึงอยู่ในสภาพตกต่ำย่ำแย่กว่าดัชนีหุ้นตลาดทั่วโลกของ เอ็มเอสซีไอ โดยเฉพาะในบางตลาดซึ่งมีการขึ้นลงเป็นวัฎจักร อย่างเช่น เกาหลีใต้ มีการติดลบหนักว่าเพื่อนด้วยซ้ำ โดยกำลังหล่นลง 8% ในระยะสัปดาห์ก่อนสุดท้ายของพฤศจิกายน เปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่โดยรวม ซึ่งถอยลง 4.5%

"มีการพูดจาเกี่ยวกับภาวะถดถอยในเศรษฐกิจสหรัฐฯกันเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังๆ มานี้ ดังนั้นเรื่องราวของทฤษฎีแยกคู่ออกห่างจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงกำลังถูกพินิจพิจารณากันใกล้ชิดยิ่งขึ้น ... นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกหงุดหงิดระลอกล่าสุดขึ้นมา" เป็นความเห็นของ คริสเตียน เดเซกลิส ผู้กำกับดูแลธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์ของ เอชเอสบีซี แอสเสต แมเนจเมนต์

ตลาดเกิดใหม่เคยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จากความหวาดผวาการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งไม่ได้เป็นจริงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้รับเม็ดเงินเป็นหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ตลอดช่วงเวลาหลายๆ เดือนหลังจากนั้น จากพวกนักลงทุนซึ่งตอนนั้นกำลังหาทางตีจากหุ้นสหรัฐฯและยุโรปตะวันออก ที่มีความเสี่ยงอาจจะพัวพันกับ "ซับไพรม์"

นั่นทำให้หลายๆ คนถึงกับสรุปว่า ตลาดเกิดใหม่ กลายเป็น "แหล่งหลบภัยแหล่งใหม่" อันเป็นวลีซึ่งเดเซกลิสบอกว่ายังไม่มีข้อเท็จจริงรองรับหนักแน่นเลย เขาชี้ว่า พวกชาติกำลังพัฒนากำลังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯน้อยลงแน่นอน ทว่าก็ยังคงต้องอาศัยสหรัฐฯเป็นตลาดรองรับสินค้าและบริการของพวกตนในปริมาณเกินกว่า 16% ตัวเลขนี้ต่ำลงมาเยอะทีเดียวจากระดับ 25% ในปี 2001

"พวกตลาดเกิดใหม่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังจำเป็นต้องอาศัยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังเติบโตอยู่นั่นเอง ... สหรัฐฯยังคงเป็นลูกค้ารายสำคัญมากๆ" เดเซกลิสย้ำสำทับ "ความเสี่ยงจึงมีอยู่ว่า ถ้าเกิดภาวะถดถอยขึ้นมาจริงๆ มันก็อาจจะส่งผลกระทบมากมายเกินไป เพียงเพราะว่าทุกๆ คนเวลานี้กำลังพูดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว"

เหตุผลของพวกเชื่อทฤษฎีแยกคู่

เมื่อพิจารณาจากเฉพาะเรื่องปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ก็จะเข้าใจได้ชัดขึ้นถึงความเอนเอียงที่จะขนานนามตลาดเกิดใหม่ว่าเป็นแหล่งหลบภัยแหล่งใหม่

ส่วนแบ่งของพวกเขาในเศรษฐกิจโลกได้ขยับสูงขึ้นสู่ระดับ 30% แล้วจาก 20% ในปี 1999 อีกทั้งอัตราเติบโตขยายตัวของพวกเขายังเป็นสองเท่าตัวของระดับเฉลี่ยของโลกพัฒนาแล้ว ตรงกันข้ามกับพวกประเทศร่ำรวยแล้วทั้งหลาย เหล่าชาติตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ยังมีฐานะทางการคลังที่ดีกว่า โดยที่มีดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดแบบสมดุล หรือกระทั่งเกินดุลด้วย

นอกจากนั้น การค้าระหว่างชาติตลาดเกิดใหม่ด้วยกันเวลานี้ก็ขยายตัว จนเลยหน้ายอดส่งออกซึ่งพวกเขาส่งไปยังประเทศพัฒนาแล้ว ขณะเดียวกัน พวกบริษัทในตลาดเกิดใหม่ยังโน้มเอียงที่จะกู้ยืมเงินน้อยกว่า อีกทั้งมีลู่ทางอนาคตด้านผลกำไรดีกว่า

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำไมบางคนจึงเชื่อว่า การอ่อนตัวลงในช่วงเร็วๆ นี้ของตลาดเกิดใหม่ เป็นเพียงการถอยลงตามธรรมชาติ หลังจากที่ได้วิ่งทะยานอย่างกระทิงเปลี่ยวมาหลายๆ เดือนก่อนหน้า

"จากการที่ (ดัชนี) เอสแอนด์พี (500 ของตลาดวอลล์สตรีท) อยู่ในระดับไม่เขยื้อนไปไหนในปีนี้ แต่ (หลักทรัพย์) ตลาดเกิดใหม่พุ่งขึ้น 30% คุณย่อมพูดไม่ได้หรอกว่ามันไม่ได้มีการแยกคู่เกิดขึ้น" เป็นความเห็นของ ชานัต ปาเทล นักยุทธศาสตร์ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกแห่งค่ายโนมูระ "ภาพได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่สหรัฐฯเกิดภาวะถดถอยครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ เอเชียเวลานี้มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเลยตอนที่สหรัฐฯชะลอตัวคราวที่แล้ว"

และมูลค่าของหลักทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ก็ดูยังไม่ได้สูงเกินไปหรอก นักวิเคราะห์ที่เชื่อทฤษฎีนี้ชี้ว่า อัตราส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี เรโช) ของหลักทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ กำลังอยู่แถวๆ 16 เท่า ไม่ได้ห่างจากของหุ้นในโลกพัฒนาแล้วที่อยู่ราวๆ 15 เท่า

แซม มาห์ทานี ผู้จัดการกองทุนแห่ง เอฟแอนด์ซี ซึ่งบริหารเงินลงทุน 6,000 ล้านดอลลาร์ในตลาดเกิดใหม่ บอกว่า กระบวนการแยกคู่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่อาจจะดำเนินไปอย่างช้าๆ

"การแยกคู่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่าเรากำลังอยู่ตรงระยะต้นๆ มากของกระบวนการนี้" เขากล่าว

ตลาดเกิดใหม่แห่งไหนที่จะแย่

อย่างไรก็ดี ตลาดเกิดใหม่ทุกๆ แห่งย่อมไม่ใช่กำลังแยกคู่ออกจากสหรัฐฯในอัตราเท่าเทียมกันไปหมด ในชาติยักษ์ใหญ่อย่างอินเดียและจีน ซึ่งมีโครงการขนาดมหึมาด้านโครงสร้างพื้นฐาน อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอาจจะอาศัยโมเมนตัมของตัวเอง อย่างเป็นอิสระจากของสหรัฐฯ

"ถ้าสหรัฐฯเกิดชะลอตัวครั้งใหญ่ และกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ก็อ่อนแรงลงมาก มันก็ต้องใช้การเปรียบเทียบมูลค่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพลวัตแห่งการเติบโต(ของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศตลาดเกิดใหม่)" เป็นความเห็นของ ศิลจา เซปปิง นักเศรษฐศาสตร์แห่งเลห์แมนบราเธอร์ส "คุณก็ต้องไปลงทุนในพวกประเทศซึ่งมีดีมานด์ภายในประเทศดี และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนเขากำลัง(ใช้เป็นแนวคิดในการ)ซื้อขายกันอยู่แล้วอย่างชัดเจน"

เธอยกตัวอย่างว่า พวกนักลงทุนในแถบยุโรปตะวันออกต่างกำลังถอยห่างฮังการี ซึ่งเป็นชาติที่พึ่งการส่งออกมาก และเวลานี้มีอัตราเติบโตแค่ 1% แล้วหันไปหาโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งมีอัตราเติบโตแข็งแกร่งกว่า

ส่วนแถบเอเชียนั้น อินเดียกับอินโดนีเซีย ซึ่งการส่งออกคิดเป็น 23% และ 30% ของจีดีพีตามลำดับ ก็น่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนมากกว่าเกาหลีใต้และไต้หวัน ที่อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 47% และ 73% ตามลำดับ

กระนั้น ปัญหายังมีอยู่ว่า ตลาดเกิดใหม่โดยรวมยังคงขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกอยากเสี่ยงของพวกนักลงทุนต่างชาติอยู่มาก และหากไม่มีสภาพคล่องอย่างมหาศาลไหลเข้ามาในระยะหลายๆ ปีมานี้ ตลาดเหล่านี้ก็จะพบว่าเป็นเรื่องลำบากขึ้นอีกที่จะดำเนินการปฏิรูปสำคัญต่างๆ ให้บังเกิดผล

บางสำนักอย่างเช่น โกลด์แมนแซคส์ มองว่าในปีนี้กำลังเกิดการแยกคู่จริง แต่เป็นลักษณะที่สหรัฐฯกับส่วนอื่นๆ ที่เหลือของโลก (ไม่ใช่แค่ตลาดเกิดใหม่) กำลังเคลื่อนไปคนละทาง

ถ้าหากการชะลอตัวจำกัดวงเฉพาะสหรัฐฯ นั่นก็จะทำให้นักลงทุนยังคงสนใจเข้าลงทุนเป็นกอบเป็นกำในตลาดเกิดใหม่ต่อไป โกลแมนแซคส์บอก แต่ก็เตือนด้วยว่า

"ในสภาพการณ์ที่ซึมเซาหนักขึ้นกว่านั้น สหรัฐฯขยับใกล้ถึงกับเป็นภาวะถดถอย และส่วนอื่นๆ ของโลกก็ชะลอตัวลงอย่างมากด้วย ในกรณีนั้นพวกตลาดเกิดใหม่ก็น่าจะมีผลประกอบการย่ำแย่กว่าตลาดใหญ่ๆ ที่อยู่นอกสหรัฐฯ เนื่องจากการหลีกหนีความเสี่ยงกันมากขึ้น(ของพวกนักลงทุน)"
กำลังโหลดความคิดเห็น