"ก้องเกียรติ"มั่นใจ ปัญหาซับไพร์มไม่ทำเมืองไทยฟองสบู่แตกรอบสอง ยอมรับอาจมีความผันผวนบ้างในส่วนที่เชื่อมโยงกับสหรัฐอเมริกา ชี้ในอนาคตเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มบริค (BRIC) จะเติบโตกว่ามะกันหลายเท่า เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียที่จะเติบโตเนื่องโดยมี จีน และอินเดีย เป็นหัวเรือหลัก ขณะที่ ไทยการไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ยังเป็นปัจจัยลบ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานเสวนา "บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน" ผู้นำเศรษฐกิจเกิดใหม่ของ บลจ.แอสเซทพลัส จำกัด ถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า มีความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์มากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าปัญหาจะสิ้นสุดปลายปีนี้ แต่จะมีการลุกลามไปจนถึงกลางปี 2551 ส่วนกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 1% นั้นคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหากับวิกฤติทางเศรษฐกิจเหมือนกับที่เกิดขึ้นในปี 2540 เพราะว่าเศรษฐกิจ สหรัฐมีการชะลอตัวอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดฟองสบู่แตกในทีเดียว อีกทั้งมองว่าหุ้นในประเทศไทยจะปรับตัวลดลง โดยในมุมกว้างจะค่อยๆ ลดลง เนื่องจากคนเริ่มทำใจ และเริ่มปรับสภาพการลงทุน ส่วนการส่งออกไปสหรัฐเริ่มหดหายไป
"ปัญหาซับไพรม์ไม่เกี่ยวกับเอเชีย ไม่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนของคนไทย ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีความผันผวน เพราะเศรษฐกิจมีการเชื่อมโยงกับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าในอนาคตเศรษฐกิจเอเชีย อเมริกาใต้ กลุ่มประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน (BRIC) จะเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สหรัฐอเมริกามีจะมีการชะลอตัวลงไป ซึ่งในอนาคตข้างหน้า เศรษฐกิจเอเชียจะยิ่งใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกา และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจอย่างเดียว ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยลง" ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นในปีหน้าว่า มีแนวโน้มสดใส โดยมีปัจจัยบวกอย่างผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองอีกในปีหน้า รวมทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าที่คาดว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่าปีนี้ และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐบาล เพราะทุกอย่างได้ผ่านการศึกษามาหมดแล้ว เหลือเพียงการลงมือเท่านั้น ทำให้คาดว่ากำไรของหุ้นโดยเฉลี่ยจะอยุ่ประมาณ 15-17%
ส่วนปัจจัยลบ นายก้องเกียรติ ให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นในกรณีที่ประเทศไทยไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เหมือนกับประเทศในกลุ่ม BRIC ซึ่งมีการนำรัฐวิสาหกิจมาขยายกิจการโดยการระดมทุนในตลาดหุ้น และสามารถสร้างความโปร่งใสได้นั้น โดยถ้าประเทศไทยเก็บรัฐวิสาหกิจไว้ใต้ร่มเงา ไม่มีการนำไปซักฟอก ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และมีการนำเรื่องนี้ไปอิงกับการเมืองมากเกินไป แต่หากมองไปที่จีนและอินเดีย จะพบว่าทั้ง 2 ประเทศนี้จะมีการปัจจัยลบภายในประเทศน้อยมาก
สำหรับปัจจัยการเมืองนั้น คาดว่าระยะสั้น ปีนี้จะไม่มีปัจจัยอย่าง ปตท. ซับไพรม์ ดูแล้วดัชนีหุ้นอยากจะวิ่ง แต่เจอกับปัจจัยภายในประเทศ ขณะที่พื้นฐานไม่น่าจะเลวร้าย ซึ่งภาพรวมแล้วตลาดหหุ้นเอเชียจะขึ้นทั้งแผง โดยมีตลาดหุ้นของจีน และอินเดียเป็นผู้นำในการผลักดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นมามาก ซึ่งในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาถึง 20% แม้ว่าจะเจอกับปัญหาจะไม่ดี
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากสภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นทำให้มีน้อยคนจะกล้าพยากรณ์ว่าดัชนีในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับใด และหุ้นกลุ่มใดน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน แต่ส่วนตัวอยากให้ดูหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า ซึ่งในแต่ละเซกเตอร์มักจะมีหุ้นที่ดี และหุ้นตัวที่มีปัญหา โดยในปีนี้จะพบว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีความโดดเด่น และมีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) รองลงมา ขณะที่ธนาคารทหารไทย (TMB) กลับไม่มีคนสนใจ
ส่วนในปีหน้าคาดว่าหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ จะได้รับความสนใจเพิ่ม เพราะรัฐบาลใหม่จะเริ่มสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์มากขึ้น โดยเฉพาะภาคเอกชนที่อยุ่ในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง และที่แบ่งพื้นที่ขายในนิคมอุตสาหกรรม และการบริโภคที่สูง ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอบ่างต่อเนื่องจะกระทบกับเศรษฐกิจ และการส่งออกดีจะช่วยกระจายตลาดมากขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมที่จะมีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมดรงพยาบาล โรงแรม และธุรกิจการบริการ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานเสวนา "บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน" ผู้นำเศรษฐกิจเกิดใหม่ของ บลจ.แอสเซทพลัส จำกัด ถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า มีความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์มากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าปัญหาจะสิ้นสุดปลายปีนี้ แต่จะมีการลุกลามไปจนถึงกลางปี 2551 ส่วนกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 1% นั้นคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหากับวิกฤติทางเศรษฐกิจเหมือนกับที่เกิดขึ้นในปี 2540 เพราะว่าเศรษฐกิจ สหรัฐมีการชะลอตัวอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดฟองสบู่แตกในทีเดียว อีกทั้งมองว่าหุ้นในประเทศไทยจะปรับตัวลดลง โดยในมุมกว้างจะค่อยๆ ลดลง เนื่องจากคนเริ่มทำใจ และเริ่มปรับสภาพการลงทุน ส่วนการส่งออกไปสหรัฐเริ่มหดหายไป
"ปัญหาซับไพรม์ไม่เกี่ยวกับเอเชีย ไม่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนของคนไทย ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีความผันผวน เพราะเศรษฐกิจมีการเชื่อมโยงกับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าในอนาคตเศรษฐกิจเอเชีย อเมริกาใต้ กลุ่มประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน (BRIC) จะเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สหรัฐอเมริกามีจะมีการชะลอตัวลงไป ซึ่งในอนาคตข้างหน้า เศรษฐกิจเอเชียจะยิ่งใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกา และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจอย่างเดียว ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยลง" ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นในปีหน้าว่า มีแนวโน้มสดใส โดยมีปัจจัยบวกอย่างผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองอีกในปีหน้า รวมทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าที่คาดว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่าปีนี้ และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐบาล เพราะทุกอย่างได้ผ่านการศึกษามาหมดแล้ว เหลือเพียงการลงมือเท่านั้น ทำให้คาดว่ากำไรของหุ้นโดยเฉลี่ยจะอยุ่ประมาณ 15-17%
ส่วนปัจจัยลบ นายก้องเกียรติ ให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นในกรณีที่ประเทศไทยไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เหมือนกับประเทศในกลุ่ม BRIC ซึ่งมีการนำรัฐวิสาหกิจมาขยายกิจการโดยการระดมทุนในตลาดหุ้น และสามารถสร้างความโปร่งใสได้นั้น โดยถ้าประเทศไทยเก็บรัฐวิสาหกิจไว้ใต้ร่มเงา ไม่มีการนำไปซักฟอก ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และมีการนำเรื่องนี้ไปอิงกับการเมืองมากเกินไป แต่หากมองไปที่จีนและอินเดีย จะพบว่าทั้ง 2 ประเทศนี้จะมีการปัจจัยลบภายในประเทศน้อยมาก
สำหรับปัจจัยการเมืองนั้น คาดว่าระยะสั้น ปีนี้จะไม่มีปัจจัยอย่าง ปตท. ซับไพรม์ ดูแล้วดัชนีหุ้นอยากจะวิ่ง แต่เจอกับปัจจัยภายในประเทศ ขณะที่พื้นฐานไม่น่าจะเลวร้าย ซึ่งภาพรวมแล้วตลาดหหุ้นเอเชียจะขึ้นทั้งแผง โดยมีตลาดหุ้นของจีน และอินเดียเป็นผู้นำในการผลักดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นมามาก ซึ่งในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาถึง 20% แม้ว่าจะเจอกับปัญหาจะไม่ดี
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากสภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นทำให้มีน้อยคนจะกล้าพยากรณ์ว่าดัชนีในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับใด และหุ้นกลุ่มใดน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน แต่ส่วนตัวอยากให้ดูหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า ซึ่งในแต่ละเซกเตอร์มักจะมีหุ้นที่ดี และหุ้นตัวที่มีปัญหา โดยในปีนี้จะพบว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีความโดดเด่น และมีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) รองลงมา ขณะที่ธนาคารทหารไทย (TMB) กลับไม่มีคนสนใจ
ส่วนในปีหน้าคาดว่าหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ จะได้รับความสนใจเพิ่ม เพราะรัฐบาลใหม่จะเริ่มสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์มากขึ้น โดยเฉพาะภาคเอกชนที่อยุ่ในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง และที่แบ่งพื้นที่ขายในนิคมอุตสาหกรรม และการบริโภคที่สูง ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอบ่างต่อเนื่องจะกระทบกับเศรษฐกิจ และการส่งออกดีจะช่วยกระจายตลาดมากขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมที่จะมีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมดรงพยาบาล โรงแรม และธุรกิจการบริการ