กองทุนส่วนบุคคล 9 เดือน เงินไหลเข้ากว่า 24,904.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 16.90% โดยเดือนกันยายนโกยเงินเข้าพอร์ตสูงสุด 6,109.74 ล้านบาท หลังนักลงทุนมั่นใจตลาดหุ้นไทย เหตุความกังวลปัญหาซับไพรม์เริ่มคลี่คลาย ด้าน"กสิกรไทย" ยังรั้งแชมป์เบอร์หนึ่ง ส่วน"ทิสโก้" สะสมเพิ่มอีก 1,501.99 ล้านบาท
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาว่า ณ วันที่ 30 กันยายน กองทุนส่วนบุคคลมีสินทรัพย์รวมทั้งระบบจำนวน 172,232.70 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 24,904.92 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 16.90% จากสินทรัพย์รวม 147,327.78 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2549
ทั้งนี้ ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กองทุนส่วนบุคคลในเดือนกันยายน สามารถขยายตัวได้เป็นจำนวนเงินสูงที่สุด โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งระบบเพิ่มขึ้นถึง 6,109.74 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวมจำนวน 166,122.96 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม โดยปัจจัยที่ทำให้เดือนกันยายนมีเงินลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้น หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐที่กดดันการลงทุนทั่วโลก
โดยบริษัทจัดการกองทุนที่มีเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุด ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยในเดือนกันยายน มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1,501.99 ล้านบาท ส่งผลให้ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ มีเงินลงทุนรวมขยับขึ้นเป็น 29,446.76 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 27,944.77 ล้านบาทในเดือนก่อนหน้านี้
ส่วนบลจ.ไทยพาณิชย์ มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งหมด 3,638.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,130.18 ล้านบาท จากเงินลงทุนจำนวน 2,508.19 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.ธนชาต มีเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุดเป็นอันดับ 3 โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งหมด 2,927.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,032.52 ล้านบาทจากเงินลงทุนรวม 1,894.73 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย ยังเป็นบริษัทที่มีเงินลงทุนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของทั้งระบบ โดยมีเงินลงทุนรวม 33,013.63 ล้านบาท ซึ่งในเดือนกันยายนมีเงินลงทุนไหลเข้าอีก 678.66 ล้านบาท อันดับ 2 ได้แก่ บลจ.ทิสโก้ ด้วยจำนวนเงินลงทุนรวม 29,446.76 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 20,620.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้านี้ 149.82 ล้านบาท
อันดับ 4.บลจ.ไอเอ็นจี มีเงินลงทุนรวม 20,454.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 279.97 ล้านบาท อันดับ 5.บลจ.วรรณ มีเงินลงทุนรวม 19,934.15 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 211.04 ล้านบาท อันดับ 6.ธนาคารกรุงเทพ มีเงินลงทุนรวม 9,281.60 ล้านบาทเพิ้มขึ้น 64.47 ล้านบาท อันดับ 7.บลจ.อเบอร์ดีน มีเงินลงทุนรวม 6,709.52 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 243.09 ล้านบาท
อันดับ 8.บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด มีเงินลงทุนรวม 6,459.09 ล้านบาทเพิ่มขึ้่น 53.50 ล้านบาท อันดับ 9.บลจ.อยุธยา มีเงินลงทุนรวม 3,807.66 ล้านบาทโดยมีเงินไหลออกไปประมาณ 7.44 ล้านบาท และอันดับ 10.บลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 3,638.37 ล้านบาท
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในกองทุนไพรเวทฟันด์ที่บริษัทดูแลอยู่จำนวน 1,500 ล้านบาท มาจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาลงทุนกับเรา และลูกค้าเดิมที่นำเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่ม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศขณะนี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้นักลงทุนมีความต้องการโยกเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนที่มีความั่นคง และผลตอบแทนที่สูงกว่า
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของกองไพรเวทฟันด์ที่เราดูแลอยู่ในขณะนี้ มักจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า ในตลาดตราสารทุน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นสถาบัน แต่ก็จะมีนักลงทุนบุคคลบางส่วนที่เน้นการลงทุนในตลาดทุนมากกว่า ซึ่งช่วงที่ตลาดหุ้นมีความร้อนแรงก็มีนักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตการลงทุนในส่วนของหุ้น โดยขายทำกำไรออกไปบ้าง เนื่องจากเกรงว่าราคาของหุ้นในขณะนี้อยู่ในระดับสูงเกินไป
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาว่า ณ วันที่ 30 กันยายน กองทุนส่วนบุคคลมีสินทรัพย์รวมทั้งระบบจำนวน 172,232.70 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 24,904.92 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 16.90% จากสินทรัพย์รวม 147,327.78 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2549
ทั้งนี้ ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กองทุนส่วนบุคคลในเดือนกันยายน สามารถขยายตัวได้เป็นจำนวนเงินสูงที่สุด โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งระบบเพิ่มขึ้นถึง 6,109.74 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวมจำนวน 166,122.96 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม โดยปัจจัยที่ทำให้เดือนกันยายนมีเงินลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้น หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐที่กดดันการลงทุนทั่วโลก
โดยบริษัทจัดการกองทุนที่มีเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุด ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยในเดือนกันยายน มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1,501.99 ล้านบาท ส่งผลให้ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ มีเงินลงทุนรวมขยับขึ้นเป็น 29,446.76 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 27,944.77 ล้านบาทในเดือนก่อนหน้านี้
ส่วนบลจ.ไทยพาณิชย์ มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งหมด 3,638.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,130.18 ล้านบาท จากเงินลงทุนจำนวน 2,508.19 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.ธนชาต มีเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุดเป็นอันดับ 3 โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งหมด 2,927.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,032.52 ล้านบาทจากเงินลงทุนรวม 1,894.73 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย ยังเป็นบริษัทที่มีเงินลงทุนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของทั้งระบบ โดยมีเงินลงทุนรวม 33,013.63 ล้านบาท ซึ่งในเดือนกันยายนมีเงินลงทุนไหลเข้าอีก 678.66 ล้านบาท อันดับ 2 ได้แก่ บลจ.ทิสโก้ ด้วยจำนวนเงินลงทุนรวม 29,446.76 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 20,620.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้านี้ 149.82 ล้านบาท
อันดับ 4.บลจ.ไอเอ็นจี มีเงินลงทุนรวม 20,454.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 279.97 ล้านบาท อันดับ 5.บลจ.วรรณ มีเงินลงทุนรวม 19,934.15 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 211.04 ล้านบาท อันดับ 6.ธนาคารกรุงเทพ มีเงินลงทุนรวม 9,281.60 ล้านบาทเพิ้มขึ้น 64.47 ล้านบาท อันดับ 7.บลจ.อเบอร์ดีน มีเงินลงทุนรวม 6,709.52 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 243.09 ล้านบาท
อันดับ 8.บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด มีเงินลงทุนรวม 6,459.09 ล้านบาทเพิ่มขึ้่น 53.50 ล้านบาท อันดับ 9.บลจ.อยุธยา มีเงินลงทุนรวม 3,807.66 ล้านบาทโดยมีเงินไหลออกไปประมาณ 7.44 ล้านบาท และอันดับ 10.บลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 3,638.37 ล้านบาท
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในกองทุนไพรเวทฟันด์ที่บริษัทดูแลอยู่จำนวน 1,500 ล้านบาท มาจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาลงทุนกับเรา และลูกค้าเดิมที่นำเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่ม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศขณะนี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้นักลงทุนมีความต้องการโยกเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนที่มีความั่นคง และผลตอบแทนที่สูงกว่า
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของกองไพรเวทฟันด์ที่เราดูแลอยู่ในขณะนี้ มักจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า ในตลาดตราสารทุน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นสถาบัน แต่ก็จะมีนักลงทุนบุคคลบางส่วนที่เน้นการลงทุนในตลาดทุนมากกว่า ซึ่งช่วงที่ตลาดหุ้นมีความร้อนแรงก็มีนักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตการลงทุนในส่วนของหุ้น โดยขายทำกำไรออกไปบ้าง เนื่องจากเกรงว่าราคาของหุ้นในขณะนี้อยู่ในระดับสูงเกินไป